ศูนย์วิจัยกสิกรฯ แนะจับตาข้อพิพาทการค้าโลก ก่อนประเมินผลกระทบต่อการส่งออก และธุรกิจไทย หลังสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการ Safeguard ปรับขึ้นภาษีนำเข้ากับทุกประเทศที่ส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุกรณีสหรัฐฯ เดินเกมกดดันทางการค้ากับนานาชาติต่อเนื่อง จากจุดเริ่มต้นที่ประกาศใช้มาตรการ Safeguard (ปรับขึ้นภาษีนำเข้ากับทุกประเทศที่ส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ) กับสินค้าแผงโซลาร์เซลล์ และเครื่องซักผ้าขนาดใหญ่ เมื่อต้นปี 2561 ตามมาด้วยการประกาศใช้มาตรการ Safeguard กับสินค้าเหล็ก และอะลูมิเนียม 25% และ 10% ตามลำดับ ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ เพิ่งลงนามไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2561
ความคืบหน้าล่าสุด ทางการสหรัฐฯ เปิดเผยว่า สำหรับเหล็ก และอะลูมิเนียมนั้น แคนาดา และเม็กซิโก เป็น 2 ประเทศที่จะได้รับการยกเว้นภาษีเป็นการชั่วคราวในฐานะ “เพื่อนแท้ (Real Friends)” ของสหรัฐฯ ประเด็นนี้ นำมาซึ่งความคุกรุ่นทางการค้าให้กับอีกหลายชาติที่ส่งสินค้าดังกล่าวไปยังสหรัฐฯ นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังเตรียมที่จะกีดกันการนำเข้าเพิ่มเติมกับสินค้าจีนในกลุ่มเทคโนโลยี IT สินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการบริโภค เครื่องนุ่งหุ่ม รองเท้า และของเล่น ที่มีมูลค่ารวมสูงถึง 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
“การเดิมเกมกดดันทางการค้าข้างต้นของสหรัฐฯ เป็นการเปิดฉากความเป็นไปได้ที่จะส่งผลให้เกิดการตอบโต้ทางการค้าที่รุนแรงขึ้นจากคู่ค้าสหรัฐฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเศรษฐกิจหลักในโลก และในท้ายที่สุดแล้ว คงจะไม่ส่งผลดีต่อใครในภาวะที่การค้าของโลกในปัจจุบันนั้น มีการเชื่อมโยงกันอยู่อย่างแนบแน่น” ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ
มาตรการกีดกันทางการค้าครั้งนี้ของสหรัฐฯ แน่นอนว่ามีเป้าหมายหลักเพื่อการลดการขาดดุลการค้าที่มีสูงถึง 1.02 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปกป้องธุรกิจสหรัฐฯ ที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม รวมทั้งต้องการจะสร้างอำนาจต่อรองเพื่อให้สหรัฐฯ ได้รับผลประโยชน์ที่พึงพอใจ สะท้อนได้จากการนำเงื่อนไขการเป็น “เพื่อนแท้ (Real Friends)” ของสหรัฐฯ มาพิจารณา ส่งผลให้คู่ค้าของสหรัฐฯ แต่ละประเทศ จำเป็นต้องเข้ามาเจรจากับสหรัฐฯ ในลักษณะหนึ่งต่อหนึ่งเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ร่วมกัน
ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงมองว่า ขณะนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องรอดูว่าจะมีประเทศใดที่เข้าเจรจากับสหรัฐฯ และได้รับการยกเว้นเพิ่มเติม ซึ่งสหรัฐฯ คงมีแผนงานพิเศษเพื่อเตรียมรับการเจรจากับ EU และจีน โดยคาดว่ารายละเอียดน่าจะเปิดเผยออกมาได้ก่อนที่มาตรการ Safeguard สินค้าเหล็ก และอะลูมิเนียม จะบังคับใช้ในปลายสัปดาห์หน้า ถ้าหากสหรัฐฯ ยกเว้นภาษีให้แก่ EU และจีน ก็อาจจะช่วยคลี่คลายแรงกดดันทางการค้าโลกในระยะต่อไปได้บางส่วน แต่ถ้าหากสหรัฐฯ ไม่มีข้อผ่อนผันให้แก่คู่กรณีทั้งสอง และยังเดินหน้าบังคับใช้มาตรการใหม่กับจีน หรือแม้กระทั่ง EU จนนำไปสู่การที่ทั้งจีน และ EU ประกาศใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้ากับสหรัฐฯ เช่นกัน และเกิดการตอบโต้ทางการค้าระหว่างกันในรอบต่อ ๆ ไปอีก มูลค่าความเสียหายจากข้อพิพาททางการค้าคงจะลุกลามไปทั่วโลก โดยการเจรจาที่ไม่สำเร็จในด้านหนึ่ง เปิดความเสี่ยงให้จีน และ EU นำมาตรการตอบโต้ออกมาใช้ และต่อจากนั้น สหรัฐฯ ก็คงโต้กลับโดยเพิ่มความรุนแรงตามคำขู่ที่เคยมีมาก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ในเบื้องต้น หากมีการเก็บภาษีเหล็ก และอะลูมิเนียม EU ได้เปิดเผยว่า มีแผนจะโต้กลับด้วยการกีดกันสินค้าสหรัฐฯ ในมูลค่าที่ใกล้เคียงกันที่ 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งนับว่าไม่สูงนักเมื่อเทียบกับแผนงานใหม่ที่สหรัฐฯ จะกดดันจีนด้วยมูลค่าสูงถึง 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจีนเองก็คงไม่ยุติสงครามการค้าครั้งนี้ โดยอาจโต้สหรัฐฯ กลับด้วยวิถีทางที่ไม่ต่างกันในกลุ่มสินค้าถ่านหิน สินค้าเกษตร และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ธุรกิจไทยที่ไม่ใช่เป้าหมายหลักของสหรัฐฯ โดยตรง ประกอบกับการส่งออกของไทยในเดือนมกราคม 2561 เร่งตัวที่ 17.6% (YoY) และน่าจะมีผลต่อเนื่องให้ไตรมาสแรกปี 2561 เติบโตค่อนข้างสูง ซึ่งจะมีส่วนช่วยหนุนการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงยังคงมุมมองการส่งออกของไทยไปตลาดโลกว่า อาจจะขยายตัว 4.5% ในปี 2561 โดยจะรอประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ จากข้อพิพาททางการค้าระหว่างแกนนำเศรษฐกิจโลก ทั้งสหรัฐฯ EU และ จีน ซึ่งมีประเด็นหลักที่ต้องพิจารณา ดังนี้ ผลระทบทางตรงจากเศรษฐกิจและการค้าโลกที่บิดเบือนไป อาจกระทบการส่งออกของไทยไปตลาดโลกคลาดเคลื่อนจากที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองไว้
ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ Bloomberg ได้ประเมินขนาดผลกระทบในกรณีที่สงครามการค้าโลกดำเนินไปสู่ความเลวร้ายที่จุดชนวนโดยสหรัฐฯ โดยคาดว่าจะสร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจโลกเป็นวงเงินกว่า 4.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และฉุดเศรษฐกิจโลกอ่อนแรงลงจนกระทั่งหดตัว 0.5% ในปี 2563 เมื่อเทียบกรณีที่สหรัฐฯ ไม่ได้เก็บภาษี นอกจากนี้ จากข้อพิพาททางการค้าที่คุกรุ่นขึ้นนี้ แน่นอนว่าคงทำให้การส่งออกของแต่ละประเทศในกลุ่มสินค้าที่อยู่ในรายการกีดกันปรับลดลง
หากจำนวนสินค้าที่นำมาตอบโต้กันมีมากขึ้น ตัวอย่างเช่น กรณี EU ได้เตรียมแผนตอบโต้สหรัฐฯ ไว้ในระดับที่ใกล้เคียงกับกลุ่มเหล็ก และอะลูมิเนียม เป็นมูลค่า 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งในความเป็นจริง แทบจะไม่กระเทือนเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ แต่สิ่งที่จะเกิดหลังจากนี้ ถ้าหากสหรัฐฯ โต้กลับโดยกีดกันการนำเข้ารถยนต์จาก EU ด้วยขนาดการพึ่งพาการส่งออกยานยนต์ไปสหรัฐฯ ถึง 18.9% ของการส่งออกยานยนต์ทั้งหมดของ EU และเป็นการส่งออกยานยนต์ที่มีมูลค่าสูง ยากที่จะหาตลาดอื่นทดแทนได้ ผลที่เกิดคงเกี่ยวโยงมาสู่กิจกรรมการผลิตและการจ้างงานใน EU ให้อ่อนแรงลงได้ ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้คงเกิดขึ้นกับจีน และนานาชาติ ที่เป็นคู่กรณีของสหรัฐฯ ทั้งสิ้น
ผลกระทบทางอ้อมต่อธุรกิจไทยมีได้หลายแง่มุม ซึ่งธุรกิจไทยในเวลานี้ ต้องเตรียมแผนงานทั้งเชิงรุก และตั้งรับ กับความผันผวนทางการค้าที่ไม่ได้เกิดจากประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่อาจจะครอบคลุมหลายประเทศทั่วโลก ดังนี้
- สินค้าที่เป็นประเด็นกีดกันทางการค้าจะประสบปัญหาล้นตลาดและพร้อมที่จะระบายไปสู่ตลาดอื่น โดยเป็นผลกระทบที่น่าจะเกิดขึ้นทันทีหลังจากมาตรการถูกบังคับใช้ ซึ่งคาดว่าสินค้าเหล็ก และอะลูมิเนียม จะเป็นสินค้ากลุ่มแรกที่ประสบปัญหานี้ โดยเฉพาะหากจีนไม่ได้รับการยกเว้นภาษี อาจทำให้สินค้าดังกล่าว ระบายมายังตลาดในเอเชียมากขึ้น เพื่อหาตลาดทดแทนตลาดสหรัฐฯ ซึ่งผู้ประกอบการในประเทศไทย อาจมีความเสี่ยงที่จะถูกสินค้าเหล็กราคาต่างจากจีนเข้ามาแข่งขัน อีกทั้งยังต้องติดตามมาตรการตอบโต้ทางการค้าใน
รอบถัด ๆ ไป ซึ่งอาจทำให้มีสินค้าหลายรายการที่เข้าสู่ภาวะดังกล่าว นอกจากนี้ การที่จะป้องกันการหลั่งไหลของสินค้าต่างชาติด้วยการใช้มาตรการ AD/CVD ของทางการไทยนั้น ก็คงต้องใช้เวลาจึงจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งในเบื้องต้น ธุรกิจไทยควรต้องมีความยืดหยุ่นเพียงพอเพื่อต้านทานกับสถานการณ์นี้ในระดับหนึ่ง
- สินค้าไทยมีโอกาสที่จะแทรกตัวเข้าไปทำตลาดในประเทศคู่กรณี โดยได้อานิสงส์จากข้อพิพาทระหว่างสหรัฐฯ EU และจีน ซึ่งขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก คือ 1) ประเภทสินค้า ถ้าเป็นประเภทสินค้าที่สามารถทดแทนกันได้หรือทดแทนกันได้บางส่วน ซึ่งในกรณีนี้สินค้าไทยอาจเข้าไปทำตลาดในประเทศปลายทางได้ อาทิ อาหารบางประเภท เสื้อผ้า และเหล็ก เป็นต้น แต่ถ้าเป็นสินค้าที่มีความเฉพาะตัวที่ต่างกับที่ไทยผลิต ก็คงยากที่ไทยจะเข้าไปทำตลาดแทนได้ อาทิ ตลาดรถยนต์หรูในสหรัฐฯ ซึ่งชาวอเมริกันนิยมรถยนต์ขนาดใหญ่
ขับพวงมาลัยขวาและมีข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่ต่างกับที่ไทยผลิตได้ทำให้ธุรกิจไทยต้องใช้เวลาปรับตัวพอสมควรเพื่อทำตลาดสหรัฐฯ ขณะที่ถ้าเป็นชิ้นส่วนยานยนต์ทั่วไป สินค้าไทยก็อาจจะมีโอกาสทำตลาดทดแทนได้
2) กำลังการผลิตของไทยมีเพียงพอที่จะเข้าไปทำตลาดอื่นเพิ่มเติมได้หรือไม่ ซึ่งถ้าหากไทยมีกำลังการผลิตส่วนเกิน ผู้ประกอบการไทยก็จะสามารถคว้าโอกาสนี้ไปได้ แต่ถ้าต้องขยายกำลังการผลิตคงต้องรอเวลาอีกเช่นกัน และ 3) ต้นทุนค่าขนส่งจากไทยไปยังประเทศปลายทาง หากมีต้นทุนที่ต่ำกว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการเก็บภาษีสินค้าที่มีการกีดกัน ก็คุ้มค่ากับการส่งสินค้าไทยเข้าไปรองรับความต้องการในตลาด EU และสหรัฐฯ นอกจากนี้ ความท้าทายสำคัญของการผลิตไทยอีกประการหนึ่ง คือ สินค้าไทยบางรายการไม่อยู่
ในห่วงโซ่การผลิตของประเทศที่มีข้อพิพาทเหล่านี้ จึงยากที่สินค้าไทยจะแทรกตัวเข้าไปทำตลาดแทนสินค้าชาติที่ถูกกีดกัน อาทิ ในกรณีที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการกีดกันสินค้าจีนโดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยี และ IT ในด้านหนึ่ง อาจกระทบกำลังการผลิตของจีน ทำให้ต้องนำเข้าวัตถุดิบบางชิ้นจากไทยน้อยลง ขณะเดียวกัน สินค้าที่ไทยมีก็ไม่สามารถทดแทนสินค้าจีนที่เคยทำตลาดสหรัฐฯ ได้ เพราะไทยไม่ได้อยู่ในห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่ต้น ซึ่งทำให้ไทยไม่ได้ประโยชน์จากเกมการค้านี้เลย นอกจากนี้ หากการตอบโต้ทางการค้ายังดำเนินต่อไปจน
ครอบคลุมสินค้าหลายรายการมากขึ้น คงยากจะหลีกเลี่ยงผลกระทบในวงกว้างที่มีต่อการผลิต การจ้างงาน จนส่งผลกดดันประเทศที่เป็นคู่กรณีของสหรัฐฯ
อนึ่ง ในกรณีเลวร้าย หากเกมการค้าที่เริ่มต้นโดยสหรัฐฯ ในรอบนี้ ได้ลุกลามไปจนครอบคลุมนานาประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ ครอบคลุมสินค้ามากรายการมากขึ้นอีก ในที่สุดแล้ว คงนำมาสู่วิกฤตความวุ่นวายทางการค้าโลก กระทบต่อห่วงโซ่การผลิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในโลก และท้ายที่สุด ก็จะฉุดการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้า กล่าวคือ ประเทศคู่กรณีคงใช้มาตรการโต้กลับสหรัฐฯ โดยอาจพิจารณาใช้มาตรการแบบเจาะจงเป้าหมาย หรืออาจใช้มาตรการ Safeguard ที่ส่งผลกีดกันสินค้าจากทุกประเทศ หรือประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยอ้อมจากการตอบโต้ทางการค้า อาจใช้มาตรการ AD/CVD แบบเฉพาะเจาะจง เพื่อป้องกันตัวเองจากการทะลักเข้ามาของสินค้าที่ล้นตลาดโลก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการกีดกันในรูปแบบใด ก็ย่อมจะไม่เกิดผลดี อีกทั้งยังทำให้เกิดการบิดเบือนของการค้าโลกในระยะข้างหน้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การจะจบเกมนี้ได้คงต้องเป็นการหันหน้าเข้าสู่การเจรจาเพื่อแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่กรณีที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ผ่านเครื่องมือทางการค้าที่มีอยู่ โดยนำมาปรับเปลี่ยนให้สอดรับกับสถานการณ์ภายใต้เงื่อนไขสู่การเป็น “เพื่อนแท้ (Real Friends)” ของสหรัฐฯ โดยหัวใจหลักในการเจรจาคงต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ในรูปแบบที่สหรัฐฯ พึงพอใจ แต่ถ้าหากในที่สุดแล้วไม่สามารถหาข้อยุติได้ นานาชาติคงร้องขอต่อองค์การการค้าโลก (WTO) ให้ออกหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมทางการค้า และยุติความปั่นป่วน