ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 143.09 อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 แต่ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 8.70% จากปัจจัยลบสถานการณ์การเมืองในประเทศ-นโยบายดอกเบี้ยเฟด โดยหมวดปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ น่าสนใจมากที่สุด
นายกีรติ โกสีย์เจริญ ผู้แทนสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือน มี.ค. 61 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า (พ.ค. 61) อยู่ที่ 143.09 อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” (Bullish) โดยมีช่วงค่าดัชนีระหว่าง 120-160 ปรับตัวลดลง 8.70% จากเดือนที่ผ่านมาที่ 156.62
ทั้งนี้ ค่าดัชนีปรับตัวลดลง แต่ยังคงอยู่ในภาวะร้อนแรงเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน จากความเชื่อมั่นผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นักลงทุนติดตามสถานการณ์ทางการเมือง และนโยบายทางการเงินสหรัฐฯ เป็นปัจจัยกดดันความเชื่อมั่นมากที่สุด
สำหรับตลาดหุ้นไทยเดือน ก.พ. 61 ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับฐาน โดยลดลงค่อนข้างมากในช่วงต้นเดือน หลังจากนั้น ทยอยปรับเพิ่มขึ้นตลอดเดือน โดยดัชนีตลาดหุ้นปิดทำการ ณ สิ้นเดือน ก.พ. อยู่ในระดับใกล้เคียงกับสิ้นเดือน ม.ค.
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับตัวลดลง โดยกลุ่มบัญชีนักลงทุนต่างประเทศ ยังคงอยู่ที่ระดับร้อนแรงอย่างมาก กลุ่มสถาบันภายในประเทศ และกลุ่มนักลงทุนรายบุคคล ปรับตัวลดลง โดยยังคงอยู่ที่ระดับร้อนแรงเช่นเดียวกับเดือนก่อนหน้า ขณะที่กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ปรับตัวลดลงจากระดับร้อนแรงอย่างมากมาอยู่ที่ระดับทรงตัว
ส่วนหมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ (PETRO) ส่วนหมวดธนาคาร (BANK) เป็นหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด
ด้านปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ขณะที่ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ทางการเมือง
“ภาวะการลงทุนในเดือนกุมภาพันธ์ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการปรับฐานราคาลดลงไปอยู่ต่ำสุดของเดือนที่ 1758.31 จุด ในช่วงต้นเดือน ตามการปรับฐานในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ที่มีการปรับตัวลดลงมากกว่า 1,000 จุดในวันเดียว อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น ดัชนีฯ ได้ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดเดือน โดยปรับตัวกลับมาอยู่ระดับใกล้เคียงกับดัชนีฯ ของเดือนมกราคม ในช่วง 1,820-1,830 จุด”
นายกีรติ กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นจากคาดการณ์ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน จากตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศที่มีการเติบโตดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยนักลงทุนหันกลับมาติดตามความชัดเจนของสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศมากขึ้น โดยให้น้ำหนักเป็นปัจจัยความเสี่ยงต่อการลงทุนมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ นโยบายทางการเงินของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม และมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปีนี้