แอล.พี.เอ็น. วางโรดแมปธุรกิจตั้งเป้าโตต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน ชูธง 2 ธุรกิจหลัก อสังหาฯ เพื่อขาย-ธุรกิจให้บริการ กำหนดปี 61 ให้เป็น “ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง” เตรียมเปิด 14 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 18,000 ล้านบาท คาดสิ้นปียอดขายทะลุ 20,000 ล้านบาท รายได้ 12,000 ล้านบาท
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า ภายหลังจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายประสบปัญหาหนี้สินครัวเรือน ทำให้ไม่สามารถขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านได้ถึง 50% ส่งผลให้บริษัทไดรับผลกระทบจากการปฏิเสธสินเชื่อ ทำให้ในปีที่แล้วมีสินค้าค้างสต็อกอยู่ถึง 14,000 ล้านบาท หรือประมาณ 13,000 ยูนิต จากปกติ มีประมาณ 3,000-4,000 ยูนิต ดังนั้น เพื่อเป็นการบริหารสต็อกที่มีอยู่ บริษัทจึงปรับกลยุทธ์ใหม่ด้วยการชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ รวมถึงพัฒนาโครงการให้เล็กลงเพื่อให้สามารถเปิดโครงการได้เร็วขึ้น จากเดิมเน้นพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งมีปัญหาในการดำเนินงานหลายอย่าง
“หลังจากมีสัญญาณมาตั้งแต่ปี 58-59 จนถึงปี 60 ที่สต็อกของบริษัทเพิ่มขึ้นสูง ซึ่งบริษัทได้ชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ออกไป ทำให้การเปิดตัวในตลาดรวมลดลงไปด้วยประมาณปีละ 10,000 หน่วย จากการที่บริษัทยังมีสต็อกที่ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทอยู่ ทำให้ในปีที่แล้ว บริษัทได้เปรียบ เพราะในตลาดแทบจะไม่มีของแล้ว ทำให้ในปีที่แล้ว สามารถระบายสต็อกไปได้กว่า 7,000 ล้านบาท หรือ 50% ของสต็อกที่มี นอกจากสต็อกที่มีมากแล้วยอดขายของบริษัทยังลดลงจากปี 2558 ยอดขาย 16000 ล้านบาท ลดลงมาอยู่ที่ 8,700 ล้านบาท ในปี 59 และกลับมาอยู่ที่ 16,000 ล้านบาทในปี 2560 ส่วนรายได้อยู่ที่ 9,655 ล้านบาท” นายโอภาส กล่าว
นายโอภาส กล่าวต่อว่า การที่จะดึงรายได้กลับไปเท่าเดิมจะต้องใช้เวลา 3 ปี ทำให้บริษัทได้วางแผนการดำเนินธุรกิจในช่วง 3 ปี (2561-2563) เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัท และบริษัทในเครือ ผ่าน 2 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธุรกิจบริการ โดยวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้จากกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อยู่ที่ 35-40% และรายได้จากกลุ่มธุรกิจบริการ เติบโตยู่ที่ 20% โดยในปี 2561 บริษัทและบริษัทในเครือได้กำหนดให้เป็นปี “Year of Change : ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง”
ในปีนี้บริษัทจะเน้นกลยุทธ์การเพิ่มรายได้ที่เน้นขยายฐานรายได้จากธุรกิจหลักธุรกิจเกี่ยวเนื่อง และการเพิ่มทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างคณะกรรมการ เปลี่ยนแปลงคณะผู้บริหารที่ดึงคนนอกเข้ามาเสริมทีมให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาบุคลากร การพัฒนาระบบ IT เพื่อรองรับธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง และการปรับภาพลักษณ์แบรนด์รองรับแผนการเติบโต
ในปี 2561 บริษัทและบริษัทในเครือมีแผนตัวการเปิดตัวโครงการใหม่ 14 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 18,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 10 โครงการมูลค่า 15,000 ล้านบาท และแนวราบ 3 โครงการมูลค่า 3,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการในรูปแบบออฟฟิตคอนโดฯ ย่านจตุจักร วิภาวดี 3 โดยเป็นโครงการแบบมิกซ์ยูสประกอบด้วยคอนโด 1 อาคารและออฟฟิต 2 อาคาร ขนาด 90-100 ตารางเมตรต่อยูนิต ราคาต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อตารางเมตร ภายใต้ชื่อลุมพินี ทาวน์เวอร์ วิภาวดี
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวม 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 17,000 ล้านบาท และแนวราบ 3,000 ล้านบาท เป้ารายได้จากการขายอยู่ที่ 12,000 ล้านบาท แบ่งคอนโดมิเนียม 10,500 ล้านบาท และ แนวราบ 1,500 ล้านบาท ปัจจุบัน บริษัทยังมียอดขายที่รอรับรู้รายได้อยู่ที่ประมาณ 5,900 ล้านบาท คิดเป็น 50 % ของเป้ารายได้รวม ณ สิ้นปี 2560 มียอดแบ็กล็อกรวมมูลค่า 7,400 ล้านบาท
ส่วนบริษัท พรสันติ จำกัด เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณ 3 โครงการ มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท โดยได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 2,000 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 1,500 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้ พรสินติจะเปิดตัวโครงการระดับบนในแบรนด์ “บ้าน 365” เป็นทาวน์เฮาส์ 4 ชั้น ราคาประมาณ 17-20 ล้านบาท บ้านเดี่ยวระดับราคาประมาณ 50 ล้านบาท จะเปิดตัวปลายไตรมาส 2 หรือต้นไตรมาส 3 โครงการแรก อยู่ถนนพระราม 3 ด้านข้างโครงการลุมพินี ริเวอร์ไรน์ เนื้อที่ 20 ไร่ จำนวน 100 ยูนิต
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2560 ที่ผ่านมา รายได้ของบริษัทยังคงมาจากกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักผ่าน 2 บริษัท คือ แอล.พี.เอ็น.ฯ มียอดขาย 16,000 ล้านบาท เติบโต 90% เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่มียอดขาย 8,700 ล้านบาท และมีรายได้อยู่ที่ 9,655 ล้านบาท ส่วนของบริษัท พรสันติ จำกัด มียอดขาย 1,750 ล้านบาท เติบโต 27% และมีรายได้ 1,000 ล้านบาท เติบโต 18%
ขณะที่กลุ่มธุรกิจบริการ ที่ดำเนินธุรกิจผ่าน 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท ลุมพินี พร็อพเพอร์ตี้ เซอร์วิส แอนด์ แคร์ จำกัด, บริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด และบริษัท ลุมพินี โปรเจค มาเนจเมนท์ เซอร์วิส จำกัด มีรายได้เติบโต 10% คิดเป็นมูลค่ารวม 970 ล้านบาท