อควา คอร์เปอเรชั่น ออกโรงแจงการถือหุ้นในบริษัทของ “กำพล วิระเทพสุภรณ์” ถูกต้องตามกฎหมาย แจงกรณีมีการเผยแพร่ไม่เป็นความจริง จะดำเนินการงทางแพ่ง และอาญา
บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA ชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ถือหุ้นรายหนึ่งของบริษัทฯ คือ นายกำพล วิระเทพสุภรณ์ ซึ่งได้ถูกกล่าวหาในคดีค้ามนุษย์ และมีการเชื่อมโยงมาเกี่ยวข้องกับบริษัทฯ อย่างไม่เป็นธรรม ดังต่อไปนี้
กรณีแรก ตามภาพรวมของข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 4 พฤษภาคม 2560 บริษัทฯ มีผู้ถือหุ้นจำนวนทั้งสิ้นรวม 5,922 คน โดยมีจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย 5,851 คน และมีเปอร์เซ็นต์การถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (% Free Float) อยู่ที่ร้อยละ 83.51 โดยนายกำพล ถือหุ้นอยู่ที่ร้อยละ 12.88 และที่ผ่านมา นายกำพล เป็นเพียงผู้ถือหุ้นที่สนใจจะเข้ามาลงทุนในบริษัทฯ ผ่านการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งไม่มีอำนาจบริหาร และไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายการบริหารงานของบริษัทฯ แต่อย่างใด โดยผู้บริหารในระดับสูงของบริษัทฯ และบริษัทในเครือโดยส่วนใหญ่ ต่างทำงานกับบริษัทมาเป็นเวลานาน และมีการเจริญเติบโตในหน้าที่การงานมาตามลำดับ
ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีความพยายามที่จะสร้างผลประกอบการที่ดีให้แก่บริษัทฯ ผ่านการลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งมีการเจริญเติบโต และขยายกิจการมาตลอด โดยบริษัทฯ เริ่มมีผลกำไรจากการดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2554 จำนวน 17.209 ล้านบาท ขณะที่มีมูลค่าสินทรัพย์พียง 955.876 ล้านบาท จนมาถึงในไตรมาส 3 ของปี 2560 บริษัทฯ มีกำไรรวม 3 ไตรมาส 230.899 ล้านบาท และมีมูลค่าสินทรัพย์สูงขึ้นเป็น 6,547.541 ล้านบาท หรือมากกว่า 6 เท่าตัว รวมผลกำไรสะสมในช่วงที่ผ่านมาสูงถึง 1,472.731 ล้านบาท
ปัจจุบัน โครงสร้างการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ ได้มีการลงทุนผ่านบริษัทร่วม และบริษัทย่อย ในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ หลายแห่ง ทั้ง AQUA AD, BoardWay Media, TCDC&AWH, EPOC, Mantra โดยเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2560 บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระดับ “BBB-” ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิต ได้กำหนดที่ระดับ “Stable” หรือ “คงที่”
กรณีที่สอง บริษัทฯ ขอยืนยันว่า บริษัทฯ ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีที่เกิดขึ้นกับธุรกิจของนายกำพล ในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นธุรกรรมทางการเงิน รายรับ รายจ่ายระหว่างกัน กับกิจการของนายกำพล หรือการลงทุนใด ๆ ร่วมกับนายกำพล แต่อย่างใด
กรณีที่สาม ในส่วนของการสนับสนุนทีมฟุตบอลสิงห์เชียงรายยูไนเต็ดนั้น เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การทำการตลาดผ่านการกีฬา (Sport Marketing) เป็นวิธีการทางการตลาดที่เป็นที่ยอมรับ และสามารถเล็งเห็นผลทางการตลาดได้อย่างชัดเจน ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งบริษัทชั้นนำในประเทศไทยหลายแห่งก็ได้ใช้กลยุทธนี้ในการทำประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของกิจการ มากบ้าง น้อยบ้างตามกำลังของแต่ละบริษัท เช่น ปตท., ซีพี, ปูนซีเมต์ไทย, กลุ่มสิงห์, กลุ่มช้าง, กลุ่มเซ็นทรัล ต่างก็ให้การสนับสนุนต่อทีมฟุตบอลทั้งในระดับลีกบน (พรีเมียร์ลีค) และลีกล่าง ติดต่อกันมาเป็นเวลานาน ซึ่งบริษัทที่อยู่ในธุรกิจเดียวกับบริษัทฯ เช่น บริษัท แพลนบี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ก็ให้การสนับสนุนทั้งสมาคมฟุตบอล และทีมฟุตบอลในไทยแลนด์พรีเมียร์ลีคเช่นกัน
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับการติดต่อจากเอเยนซีของทีมสิงห์เชียงรายยูไนเต็ด ให้เข้ามาสนับสนุน ซึ่งได้มีการพิจารณากันอย่างรอบคอบถึงผลที่จะได้รับจากการเป็นผู้สนับสนุนรองของทีมฯ โดยบริษัทฯ ถือเป็นหนึ่งในแผนโฆษณาประชาสัมพันธ์ สามารถโฆษณาภาพลักษณ์ของบริษัทฯ เคียงคู่ไปกับผู้สนับสนุนหลักรายอื่น เช่น บางกอกแอร์เวย์, สิงห์, AIA, สี TOA และ แอร์ Carrier เป็นต้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อบริษัทฯ เนื่องจากบริษัทฯ ก็มีป้ายโฆษณาอยู่ในจังหวัดเชียงราย และการถ่ายทอดสดการแข่งขันก็จะสามารถประชาสัมพันธ์โลโก้ของบริษัทฯ ไปได้ทั่วประเทศไทย นอกจากนี้ ในระยะต่อไปบริษัทฯ ก็ได้วางแผนที่จะมีการลงทุนป้ายรอบสนาม และป้ายโฆษณา LED ในสนามฟุตบอล เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าของบริษัทฯ อีกด้วย โดยมีวงเงินสนับสนุนในปี 2560 อยู่ที่ 10 ล้านบาท แบ่งจ่ายเป็น 2 งวด ส่วนในฤดูกาลต่อไปกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา
กรณีสุดท้ายที่มีผู้กล่าวหาว่า บริษัทฯ มีส่วนเกี่ยวข้องธุรกรรมการเงินที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ “วิคตอเรีย ซีเคร็ต” หรือจงใจบิดเบือน เพื่อให้คนรับข่าวสารเข้าใจว่า บริษัทฯ ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงินนั้น บริษัทฯ ขอชี้แจงว่า รายได้ทุกบาททุกสตางค์ของบริษัทฯ สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้อย่างชัดเจนในธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้าน, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า, ธุรกิจโรงพิมพ์ และธุรกิจผลิตไฟฟ้ารวมกว่า 450 เมกะวัตต์ โดยมีรายได้รวมในงวด 9 เดือน มากกว่า 700 ล้านบาท มีการบันทึกบัญชีและถูกตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีที่ถูกรับรองโดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คือ บริษัท สำนักงานปีติเสวี จำกัด เป็นประจำทุก 3 เดือน และมีการเสียภาษีต่าง ๆ อย่างถูกต้องครบถ้วน
ดังนั้น การให้ข่าวใด ๆ ที่ถือเป็นการให้ร้าย กล่าวหา หรือทำให้บริษัทฯ ถูกเข้าใจผิด ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง หรือเสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งในส่วนตัวบุคคล และตัวบริษัทฯ บริษัทฯ จะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ดำเนินรายการ ผู้เขียน ผู้นำเสนอหรือนำเข้าบทความเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตลอดจนสื่อต่าง ๆ ที่มานำเสนอไม่ว่าจะเป็นสิ่งพิมพ์, สถานีโทรทัศน์, สถานีวิทยุ หรือสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ทั้งทางแพ่ง และอาญา จนถึงที่สุดต่อไป
บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA ชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ถือหุ้นรายหนึ่งของบริษัทฯ คือ นายกำพล วิระเทพสุภรณ์ ซึ่งได้ถูกกล่าวหาในคดีค้ามนุษย์ และมีการเชื่อมโยงมาเกี่ยวข้องกับบริษัทฯ อย่างไม่เป็นธรรม ดังต่อไปนี้
กรณีแรก ตามภาพรวมของข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 4 พฤษภาคม 2560 บริษัทฯ มีผู้ถือหุ้นจำนวนทั้งสิ้นรวม 5,922 คน โดยมีจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย 5,851 คน และมีเปอร์เซ็นต์การถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (% Free Float) อยู่ที่ร้อยละ 83.51 โดยนายกำพล ถือหุ้นอยู่ที่ร้อยละ 12.88 และที่ผ่านมา นายกำพล เป็นเพียงผู้ถือหุ้นที่สนใจจะเข้ามาลงทุนในบริษัทฯ ผ่านการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งไม่มีอำนาจบริหาร และไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายการบริหารงานของบริษัทฯ แต่อย่างใด โดยผู้บริหารในระดับสูงของบริษัทฯ และบริษัทในเครือโดยส่วนใหญ่ ต่างทำงานกับบริษัทมาเป็นเวลานาน และมีการเจริญเติบโตในหน้าที่การงานมาตามลำดับ
ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีความพยายามที่จะสร้างผลประกอบการที่ดีให้แก่บริษัทฯ ผ่านการลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งมีการเจริญเติบโต และขยายกิจการมาตลอด โดยบริษัทฯ เริ่มมีผลกำไรจากการดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2554 จำนวน 17.209 ล้านบาท ขณะที่มีมูลค่าสินทรัพย์พียง 955.876 ล้านบาท จนมาถึงในไตรมาส 3 ของปี 2560 บริษัทฯ มีกำไรรวม 3 ไตรมาส 230.899 ล้านบาท และมีมูลค่าสินทรัพย์สูงขึ้นเป็น 6,547.541 ล้านบาท หรือมากกว่า 6 เท่าตัว รวมผลกำไรสะสมในช่วงที่ผ่านมาสูงถึง 1,472.731 ล้านบาท
ปัจจุบัน โครงสร้างการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ ได้มีการลงทุนผ่านบริษัทร่วม และบริษัทย่อย ในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ หลายแห่ง ทั้ง AQUA AD, BoardWay Media, TCDC&AWH, EPOC, Mantra โดยเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2560 บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระดับ “BBB-” ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิต ได้กำหนดที่ระดับ “Stable” หรือ “คงที่”
กรณีที่สอง บริษัทฯ ขอยืนยันว่า บริษัทฯ ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีที่เกิดขึ้นกับธุรกิจของนายกำพล ในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นธุรกรรมทางการเงิน รายรับ รายจ่ายระหว่างกัน กับกิจการของนายกำพล หรือการลงทุนใด ๆ ร่วมกับนายกำพล แต่อย่างใด
กรณีที่สาม ในส่วนของการสนับสนุนทีมฟุตบอลสิงห์เชียงรายยูไนเต็ดนั้น เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การทำการตลาดผ่านการกีฬา (Sport Marketing) เป็นวิธีการทางการตลาดที่เป็นที่ยอมรับ และสามารถเล็งเห็นผลทางการตลาดได้อย่างชัดเจน ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งบริษัทชั้นนำในประเทศไทยหลายแห่งก็ได้ใช้กลยุทธนี้ในการทำประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของกิจการ มากบ้าง น้อยบ้างตามกำลังของแต่ละบริษัท เช่น ปตท., ซีพี, ปูนซีเมต์ไทย, กลุ่มสิงห์, กลุ่มช้าง, กลุ่มเซ็นทรัล ต่างก็ให้การสนับสนุนต่อทีมฟุตบอลทั้งในระดับลีกบน (พรีเมียร์ลีค) และลีกล่าง ติดต่อกันมาเป็นเวลานาน ซึ่งบริษัทที่อยู่ในธุรกิจเดียวกับบริษัทฯ เช่น บริษัท แพลนบี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ก็ให้การสนับสนุนทั้งสมาคมฟุตบอล และทีมฟุตบอลในไทยแลนด์พรีเมียร์ลีคเช่นกัน
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับการติดต่อจากเอเยนซีของทีมสิงห์เชียงรายยูไนเต็ด ให้เข้ามาสนับสนุน ซึ่งได้มีการพิจารณากันอย่างรอบคอบถึงผลที่จะได้รับจากการเป็นผู้สนับสนุนรองของทีมฯ โดยบริษัทฯ ถือเป็นหนึ่งในแผนโฆษณาประชาสัมพันธ์ สามารถโฆษณาภาพลักษณ์ของบริษัทฯ เคียงคู่ไปกับผู้สนับสนุนหลักรายอื่น เช่น บางกอกแอร์เวย์, สิงห์, AIA, สี TOA และ แอร์ Carrier เป็นต้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อบริษัทฯ เนื่องจากบริษัทฯ ก็มีป้ายโฆษณาอยู่ในจังหวัดเชียงราย และการถ่ายทอดสดการแข่งขันก็จะสามารถประชาสัมพันธ์โลโก้ของบริษัทฯ ไปได้ทั่วประเทศไทย นอกจากนี้ ในระยะต่อไปบริษัทฯ ก็ได้วางแผนที่จะมีการลงทุนป้ายรอบสนาม และป้ายโฆษณา LED ในสนามฟุตบอล เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าของบริษัทฯ อีกด้วย โดยมีวงเงินสนับสนุนในปี 2560 อยู่ที่ 10 ล้านบาท แบ่งจ่ายเป็น 2 งวด ส่วนในฤดูกาลต่อไปกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา
กรณีสุดท้ายที่มีผู้กล่าวหาว่า บริษัทฯ มีส่วนเกี่ยวข้องธุรกรรมการเงินที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ “วิคตอเรีย ซีเคร็ต” หรือจงใจบิดเบือน เพื่อให้คนรับข่าวสารเข้าใจว่า บริษัทฯ ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงินนั้น บริษัทฯ ขอชี้แจงว่า รายได้ทุกบาททุกสตางค์ของบริษัทฯ สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้อย่างชัดเจนในธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้าน, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า, ธุรกิจโรงพิมพ์ และธุรกิจผลิตไฟฟ้ารวมกว่า 450 เมกะวัตต์ โดยมีรายได้รวมในงวด 9 เดือน มากกว่า 700 ล้านบาท มีการบันทึกบัญชีและถูกตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีที่ถูกรับรองโดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คือ บริษัท สำนักงานปีติเสวี จำกัด เป็นประจำทุก 3 เดือน และมีการเสียภาษีต่าง ๆ อย่างถูกต้องครบถ้วน
ดังนั้น การให้ข่าวใด ๆ ที่ถือเป็นการให้ร้าย กล่าวหา หรือทำให้บริษัทฯ ถูกเข้าใจผิด ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง หรือเสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งในส่วนตัวบุคคล และตัวบริษัทฯ บริษัทฯ จะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ดำเนินรายการ ผู้เขียน ผู้นำเสนอหรือนำเข้าบทความเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตลอดจนสื่อต่าง ๆ ที่มานำเสนอไม่ว่าจะเป็นสิ่งพิมพ์, สถานีโทรทัศน์, สถานีวิทยุ หรือสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ทั้งทางแพ่ง และอาญา จนถึงที่สุดต่อไป