“ออริจิ้น” เพิ่มพอร์ตลงทุนโครงการแนวราบเปิดแบรนด์ “บริทาเนีย” จับตลาดทุกเซกเมนต์ตั้งแต่ 3-25 ล้านบาท ตั้งเป้า 5 ปี รายได้จากโครงการแนวราบแตะ 12,000 ล้านบาท ประเดิมโครงการแรก “บริทาเนีย ศรีนครินทร์” ราคา 4.69-8 ล้านบาท มูลค่า 800 ล้านบาท ปี 61 เปิดเพิ่ม 2 โครงการมูลค่า 1,600 ล้านบาท
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนขยายพอร์ตการลงทุนไปยังโครงการบ้านแนวราบ เพื่อเพิ่มพอร์ตรายได้ให้มีความครอบคลุมโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภท หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เน้นการลงทุนโครงการคอนโดมิเนียม โรงแรม และคอมเมอร์เชียล นอกจากนี้ โครงการแนวราบยังสามารถสร้างรายได้เข้ามายังบริษัทได้เร็วนับจากซื้อที่ดินราว ๆ 1 ปี ทำให้รอบบัญชีหมุนเร็วขึ้นต่างจากโครงการประเภทอื่นเช่นคอนโดมิเนียม จะใช้ระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปีนับจากซื้อที่ดิน จึงจะมีรายได้กลับเข้ามา
สำหรับโครงการบ้านแนวราบที่บริษัทพัฒนาอยู่ภายใต้แบรนด์ “บริทาเนีย” แบ่งเป็น 4 กลุ่มระดับราคา ได้แก่ แบรนด์ “บริทาเนีย วิลล่า” เป็นบ้านเดี่ยวระดับราคา 15-25 ล้านบาท, “บริทาเนีย เรสซิเดนซ์” เป็นบ้านเดี่ยวระดับราคา 8-15 ล้านบาท แบรนด์ “บริทาเนีย โฮม” เป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝดระดับราคา 5-8 ล้านบาท และแบรนด์ “บริทาเนีย ทาวน์” เป็นทาวน์โฮม และบ้านแฝด ระดับราคา 3-5 ล้านบาท
สัดส่วนการพัฒนาโครงการแนวราบคิดเป็น 20% ของพอร์ตรายได้ และขณะที่ในส่วนของโครงการแนวราบจะเน้นพัฒนาโครงการบ้านระดับราคา 3-8 ล้านบาท สัดส่วน 80% และอีก 20% จะพัฒนาโครงการระดับพรีเมียม ระดับราคา 8-25 ล้านบาท
ส่วนแผนการลงทุนระยะ 5 ปี ตั้งเป้าปี 2561 เปิด 2 โครงการ มูลค่า 1,600 ล้านบาท สร้างรายได้ 900 ล้านบาท ปัจจุบันมีที่ดินรอพัฒนาแล้ว 2 แปลง ใกล้เมกะบางนา เนื้อที่กว่า 60 ไร่ ส่วนอีก 1 แปลง อยู่ระหว่างพิจารณา, สำหรับปี 2562 ตั้งเป้าเปิด 5 โครงการ มูลค่า 3,200 ล้านบาท มีรายได้ 2,200 ล้านบาท, ปี 2563 เปิด 7 โครงการ มูลค่า 6,400 ล้านบาท มีรายได้ 4,400 ล้านบาท, ปี 2564 เปิด 10 โครงการ มูลค่า 9,000 ล้านบาท รายได้ 8,500 ล้านบาท และในปี 2565 วางแผนเปิด 14 โครงการ มูลค่า 14,000 ล้านบาท มีรายได้จากโครงการแนวราบ 12,000 ล้านบาท
สำหรับทำเลเป้าหมายหลัก ยังคงเน้นที่กรุงเทพฯ โซนตะวันออก ได้แก่ โซนบางนา สมุทรปราการ และภาคตะวันออกในพื้นที่ อีอีซี เช่น ชลบุรี, ระยอง เป็นต้น โดยเฉพาะโซนบางนา ที่จะกลายเป็นซีบีดีแห่งใหม่ การมีรถไฟฟ้า 2 สาย ทั้งสายสีเขียว และสายสีเหลือง ลาดพร้าว สำโรง ที่เตรียมก่อสร้างในปีหน้า โครงการบางกอกมอลล์ ของกลุ่มเดอะมอลล์กรุ๊ป, เซ็นทรัล บางนา, ไบเทคบางนา, อาคารภิรัช ทาวน์เวอร์ เป็นต้น
“บริษัทตั้งเป้าหมายเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้า ซึ่งหลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม เราจึงแผนขยายการลงทุนไปยังโครงการแนวราบ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตาม Road Map ของบริษัทที่ได้วางเป้าไว้ ด้วยการขึ้นแท่นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าของไทย ด้วยการเป็น 1 ใน 3 บริษัทผู้พัฒนาและให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ภายในปี 2565” นายพีระพงศ์ กล่าว
ด้านนางศุภลักษ์ จันทร์พิทักษ์ กรรมการผู้จัดการโครงการแนวราบ บริษัท ออริจิ้นฯ กล่าวว่า สำหรับโครงการแนวราบโครงการแรก ได้แก่ โครงการ “บริทาเนีย ศรีนครินทร์” เป็นโครงการบ้านเดี่ยว และบ้านแฝด แนวคิด “Modern British Luxury” บนพื้นที่รวมกว่า 22 ไร่ ในซอยหนามแดง ห่างจากสถานีบีทีเอสสายสีเหลือง สถานีศรีด่าน 1.5 กิโลเมตร จำนวน 149 ยูนิต ขนาดที่ดิน 35-50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 130-160 ตร.ม. ระดับราคาขายตั้งแต่ 4.65-8 ล้านบาท
โครงการบริทาเนีย ศรีนครินทร์ (Britania Srinakarin) ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 22 ไร่ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 2 ชั้น และบ้านแฝด 2 ชั้น จำนวน 149 หลัง ระดับราคา 4.65-8 ล้านบาท ขนาดที่ดิน 35-50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 130-160 ตารางเมตร ภายใต้คอนเซ็ปต์ Modern British Luxury โดยมีแบบบ้านทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ 1. Brompton บ้านแฝด 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 130 ตร.ม. ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ จอดรถ 2 คัน, 2. Regent บ้านแฝด 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 140 ตร.ม. ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ จอดรถ 2 คัน และ 3. Oxford บ้านเดี่ยว 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 160 ตร.ม. ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ จอดรถ 2 คัน
จุดเด่นของโครงการ คือ ทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้า เพียง 1.5 กม. จากบีทีเอสสายสีเหลือง สถานี “ศรีด่าน” การออกแบบพื้นที่ส่วนกลางถูกพัฒนาขึ้นโดยยึดความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ และฟังก์ชันบ้านที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยจริง หรือ “Customer Centric Design” ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด พร้อมพื้นที่ส่วนกลางครบ ตอบไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ, ห้องฟิตเนส, สวนบาสเกตบอล และสนามเด็กเล่น
นอกจากนี้ ยังออกแบบฟังก์ชันการใช้งานภายในตัวบ้านให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยจริง อาทิ การออกแบบฟังก์ชัน การใช้งานในบ้านให้มี USB port ตามจุดต่าง ๆ เพื่อเสียบสายชาร์ตโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ต้องอาศัยเต้าเสียบไฟตามปกติ หรือแม้กระทั่งการเลือกวัสดุที่ใช้ในบ้าน เช่น กรอบประตูหน้าต่างวินเซอร์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม สำหรับโครงการบ้านระดับบน เป็นต้น
รวมถึงการใส่ใจในการออกแบบฟังก์ชันการใช้งาน อย่างการออกแบบครัวไทย เพื่อรองรับการใช้ชีวิตประจำวันได้จริงของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอีกด้วย โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของโครงการ คือ กลุ่มลูกค้าที่มีอายุประมาณ 28-35 ปี กำลังเริ่มสร้างครอบครัว มีรายได้ครอบครัวต่อเดือนประมาณ 80,000 บาท ทั้งนี้ ทางโครงการได้มีการเปิดขาย Pre-Sale ไปแล้ว เมื่อวันที่ 18-19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี โดยมียอดขายแล้ว 43 ยูนิต มูลค่า 240 ล้านบาท