พอร์เฟค ร่วมทุนญี่ปุ่น “ซูมิโตโมฯ” ทุ่ม 4 หมื่นล้าน ลุยอสังหาฯ ไทย แบ่งลงทุนคอนโดฯ 2 หมื่นล้านบาท ร่วมกับบริษัทในเครือ แกรนด์ แอสเสทฯ ประเดิมโครงการแรกคอนโดฯ ซูเปอร์ลักซัวรี “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” ตร.ม. ละ 3 แสน เปิดขายกลางปี 61 ส่วนอีก 2 หมื่นล้านบาท ลงทุนบ้านแนวราบกับเพอร์เฟค เผยเล็งจีบร่วมลงทุนวิลลาหรูในคิโรโระ รีสอร์ต ในญี่ปุ่น
นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ เพอร์เฟค (PF) เปิดเผยถึงแนวทางการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายหลังจากที่กลุ่มบริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัท ซูมิโตโม ฟอเรสทรี จำกัด จากญี่ปุ่นว่า การร่วมทุนกับซูมิโตโมฯ จะช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการลงทุนให้แก่บริษัทเป็นอย่างมาก เนื่องจากซูมิโตโม เป็นบริษัทรับสร้างบ้านรายใหญ่ของญี่ปุ่น ที่มีอายุถึง 300 ปี นอกจากนี้ ยังได้ไปลงทุนในสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และในอีกหลายประเทศ ในฐานะผู้ประกอบการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย
บริษัทจะได้ประโยชน์ทั้งด้านต้นทุนทางการเงินที่ซูมิโตโม มีต่ำกว่า 0.5 เทคโนโลยีการก่อสร้าง การออกแบบ โดยเฉพาะการสร้างบ้านด้วยไม่จริง ที่ซูมิโตโมฯ มีส่วนป่าของตัวเองที่ประเทศอินโดนีเซียถึง 70% ของพื้นที่ปลูกป่า ซึ่งบริษัทมีแผนที่พัฒนาโครงการบ้านที่สร้างจากไม้จริงในอนาคตอันใกล้นี้
สำหรับแผนการร่วมทุนของเพอร์เฟค และซูมิโตโมฯ ในเบื้องต้น มีแผนจะร่วมลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งโครงการแนวสูงประเภทคอนโดมิเนียม และที่อยู่อาศัยแนวราบ รวมมูลค่า 40,000 ล้านบาท ในระยะเวลา 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2561-2564
โครงการคอนโดมิเนียมจะร่วมทุนกับบริษัทแกรนด์ แอสเสท โฮแทล แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบรฺิษัทในเครือประมาณ 4-5 โครงการ มูลค่าการลงทุน 20,000 ล้านบาท ในระยะเวลา 4 ปี โดยจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นมาภายใต้ชื่อ แกรนด์ สตาร์ ล่าสุด เปิดตัวโครงการร่วมทุนโครงการแรก เป็นคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซัวรี แบรนด์ “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” อาคารสูง 45 ชั้น 300 ยูนิต ในจำนวนนี้มีเพนต์เฮาส์ขนาด 100 ตร.ม. 4 ยูนิต และจูเนียร์เพนต์เฮาส์อีก 8 ยูนิต ราคา 3 แสนบาทต่อ ตร.ม. หรือราคาเริ่มต้น 10-100 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเปิดขายได้ในกลางปี 2561 ซึ่งโครงการร่วมทุนโครงการแรกจะสามารถรับรู้รายได้ในปี 2564
ขณะที่โครงการแนวราบจะร่วมลงทุนกับพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มูลค่าการลงทุน 20,000 ล้านบาท สัดส่วนการถือหุ้น 51:49 คาดว่าเซ็นสัญญากันได้ในต้นปีหน้า โดยเบื้องต้น จะพัฒนาประมาณ 8-10 โครงการ ภายในระยะเวลา 4 ปี เน้นบ้านระดับราคา 5-10 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มลงทุนได้ในปีหน้า โดยจะนำที่ดินแลนด์แบงก์ของบริษัทบางส่วนมาพัฒนาด้วย ซึ่งรูปแบบบ้านจะใช้ไม้ร่วมในการก่อสร้าง เนื่องจากซูมิโตโมฯ มีความเชี่ยวชาญในการก่อสร้างบ้านไม้ ซึ่งประสบความสำเร็จมากในสหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย
นายชายนิด กล่าวต่อว่า การเจรจาร่วมทุนกับซูมิโตโม ใช้เวลาเจรจาเพียง 8 เดือน ซึ่งถือว่าเร็วมากสำหรับนักลงทุนจากญี่ปุ่น ส่วนหนึ่งเชื่อว่ามาจากการที่ซูมิโตโม ได้เข้าไปลงทุนพัฒนาในสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย ซึ่งประสบความสำเร็จมาแล้ว จึงตัดสินใจที่จะลงทุนในไทยง่ายขึ้น ซึ่งหลังจากการร่วมลงทุนในไทยแล้ว บริษัทเตรียมเสนอการร่วมลงทุนในโครงการโรงแรมคิโรโระ รีสอร์ท ฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีที่ดินที่ยังไม่พัฒนาอยู่ภายในโครงการของโรงแรมอีกกว่า 500 ไร่ โดยบริษัทมีแผนจะพัฒนาเป็นวิลลาหรู โครงการขนาดใหญ่ ซึ่งจะต้องหาผู้ร่วมลงทุน โดยทางซูมิโตโม ก็แสดงความสนใจด้วย
นายชายนิด กล่าวต่อว่า สำหรับแผนลงทุนในปี 2561 เพอร์เฟคฯ จะเปิดโครงการใหม่ 25-26 โครงการ มูลค่า 31,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้ไม่รวมโครงการร่วมทุน ตั้งเป้ายอดขาย 20,000 ล้านบาท ในขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนที่จะลงทุนในธุรกิจศูนย์การค้าบนทำเลรัชดาภิเษก บนพื้นที่ราว 40 ไร่ ปัจจุบันมีที่ดินแล้ว 20 ไร่ อยู่ระหว่างเจรจาเช่าเพิ่มอีก 20 ไร่ สัญญาเช่า 30 ปี ส่วนผู้บริหารศูนย์การค้าอยู่ระหว่างเจรจา 2 ราย คาดว่าจะได้ข้อสรุป และเริ่มลงทุนได้ในปีหน้า
สำหรับในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีนี้ จะเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการในย่านกรุงเทพกีฑา และโครงการเพอร์เฟค เพลส แจ้งวัฒนะ 2 บ้านเดี่ยวในราคา 5.59-9 ล้านบาท ขนาดพื้นที่ 86.3 ไร่ จำนวนบ้านเดี่ยว 372 หลัง มูลค่าโครงการ 2,130 ล้านบาท โดยเชื่อว่าสิ้นปี 2560 บริษัทจะมียอดขาย 14,500 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ โดย 9 เดือน มียอดขายแล้วกว่า 10,000 ล้านบาท
ขณะที่แกรนด์ แอสเสทฯ มีแผนลงทุนในปี 2561 จำนวน 2 โครงการ ซึ่งโครงการแรกจะเป็นโครงการร่วมทุน ไฮด์ เฮอริเทจ และโครงการมิกส์ยูส “ไฮแอท รีเจนท์ซี่” จ.ระยอง มูลค่า 6,000 ล้านบาท บนที่ 90 ไร่ ประกอบด้วย โรงแรม วิลลา และคอนโดมิเนียม เปิดตัวในช่วงกลางปีหน้า
นายชายนิด กล่าวต่อว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ยังเป็นของผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่มีเงินลงทุน และศักยภาพในการแข่งขัน โดยรายใหญ่ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 70% ส่วนรายกลางรายเล็กที่ไม่ปรับตัวก็จะหายไป ดังนั้น จึงต้องหาพันธมิตรในการดำเนินธุรกิจเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันเช่นแกรนด์แอสเสทฯ
“ส่วนกรณีที่มีการเทกโอเวอร์โครงการกันในปัจจุบันถือเป็นเรื่องที่ดี เมื่อโครงการไหนไปไม่รอด ก็จะมีผู้ประกอบการที่มีศักยภาพมากกว่ามาซื้อไปพัฒนาต่อ โครงการเดินหน้า เจ้าของเดิมได้เงินไปลงทุนต่อ แบงก์ได้หนี้คืน ทุกอย่างเดินหน้าต่อไปได้ ทำให้ตลาดมีความมั่นคง” นายชายนิด กล่าว