ฟลอยด์ ประเมินแนวโน้มผลงานปี 2561 คาดรายได้ฟื้นตัวเติบโต 15-20% ผลจากการเร่งลงทุนของโครงการภาครัฐ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสีต่าง ๆ ทำให้ภาคเอกชนเริ่มกลับมามีความมั่นใจในการลงทุนอีกครั้ง ล่าสุด ได้ลูกค้าใหม่เพิ่มอีก 2 ราย เผยบริษัทอยู่ระหว่างการเข้าประมูลงานติดตั้งระบบหลาย โครงการมูลค่าราว 80-200 ล้านบาท คาดทราบผลปีนี้
นายทศพร จิตตวีระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟลอยด์ จำกัด (มหาชน) หรือ FLOYD เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการปี 2561 จะฟื้นตัวจากปี 2560 คาดว่า รายได้ปีหน้าโต 15-20% จากปีนี้ เนื่องจากภาคเอกชนที่ชะลอการลงทุนในปี 2559 เริ่มกลับมาทยอยลงทุน และเชื่อว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 2561 ประกอบกับการเร่งลงทุนของโครงการภาครัฐโดยเฉพาะรถไฟฟ้าสีต่าง ๆ ล่าสุด ปีนี้บริษัทยังได้ลูกค้ารายใหม่ในธุรกิจห้างสรรพสินค้า คือ บมจ. โรบินสัน หรือ ROBINS ปัจจุบัน กลุ่มโรบินสัน กำลังขยายสาขาเอง ซึ่งบริษัทเข้าไปรับงานเมื่อไตรมาส 2/2560 ที่ผ่านมา คาดว่ามีโอกาสที่จะรับงานในสาขาต่อไปอีก และ บมจ. เจเอเอส แอสเซ็ท หรือ J ซึ่งเข้าไปรับงานปรับปรุงในโครงการ JAS สาขารามอินทรา และ The JAS สาขาวังหิน รวมทั้งบริษัทได้ส่งทีมผู้บริหารเดินหน้าเข้าแนะนำตัวกับลูกค้ารายใหม่ เพื่อเร่งขยายฐานลูกค้าใหม่ และเพิ่มความหลากหลายในประเภทงานที่ให้บริการ
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเข้าประมูลงานติดตั้งระบบหลายโครงการ มูลค่าราว 80-200 ล้านบาท ได้แก่ โครงการติดตั้งระบไฟฟ้าที่พักอาศัยมูลค่า 40-50 ล้านบาท โครงการห้างสรรพสินค้ามูลค่า 70-80 ล้านบาท และโครงการประเภทอื่น ๆ 70-120 ล้านบาท โดยจะรับทราบผลการเข้าประมูลได้ภายในปีนี้ทั้งหมด รวมทั้งเข้าประมูลงานเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เพิ่มรายได้ให้แข็งแกร่ง
“บริษัทมองว่า การลงทุนขยายโครงการต่าง ๆ ของลูกค้าในปี 2561 จะเพิ่มขึ้น หลังจากความเชื่อมั่นของการเติบโตเศรษฐกิจในประเทศกลับมาดีขึ้น ทำให้การขยายงานต่าง ๆ กลับมา และเป็นโอกาสของบริษัทที่จะเข้าไปรับงานได้มากขึ้น” นายทศพร กล่าว
หลังจากที่บริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เมื่อช่วงวันที่ 1 พ.ย. 2560 ที่ผ่านมา เป็นโอกาสที่ดี ทำให้บริษัทฯ สามารถเข้าประมูลงาน หรือเสนอการให้บริการในโครงการที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งบริษัทมีความเชี่ยวชาญในงานให้บริการรับเหมาติดตั้งงานระบบไฟฟ้า และเครื่องกล รวมทั้งจัดหาอุปกรณ์ ติดตั้งระบบที่ครบวงจรให้แก่ลูกค้า ซึ่ง FLOYD สามารถเข้าไปรองรับงานได้
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในงวดไตรมาส 3/2560 บริษัทมีรายได้จากการให้บริการ 107.65 ล้านบาท มีอัตราลดลง 25.89% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 145.25 ล้านบาท เป็นผลมาจากลูกค้าหลักของบริษัทฯ บางส่วนมีการชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ บริษัทมีกำไรสุทธิ 5.11 ล้านบาท ลดลง 84.84% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 33.68 ล้านบาท การปรับตัวลดลงของกำไรสุทธิเป็นไปในทิศทางเดียวกับรายได้ ส่วนรายได้จากการให้บริการในงวด 9 เดือนแรกของปี 2560 มีจำนวน 231.12 ล้านบาท ลดลง 44% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 418.25 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 17.59 ล้านบาท ลดลง 79.25% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
“ยอมรับว่า ผลประกอบการที่ออกมาต่ำกว่าเป้าหมาย เป็นไปตามสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัวลง อย่างไรก็ดี ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ลูกค้าบางส่วนได้เริ่มงานตามแผนงานก่อสร้างที่วางไว้ ประกอบกับการขยายงานไปยังฐานลูกค้ารายใหม่ ปัจจุบัน บริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 255 ล้านบาท” นายทศพร กล่าว