xs
xsm
sm
md
lg

“บีซีพีจี” เผย Q3/60 ฟันกำไร 514 ล้านบาท +43% จากปีก่อน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG
บมจ. บีซีพีจี และบริษัทย่อย ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ของปี 2560 มีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าในประเทศไทย และประเทศญี่ปุ่น ประมาณ 854 ล้านบาท ซึ่งมาจากการจำหน่ายไฟฟ้าของโครงการลดลงร้อยละ 4 จากไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2559 พร้อมทยอยเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซีย ตั้งแต่ต้นปีเป็นครั้งแรก รวมถึงจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมในฟิลิปปินส์ เพิ่มเติมอีกประมาณ 360 ล้านบาท ทำให้ผลกำไรสุทธิก่อนผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน และรายการพิเศษ เพิ่มขึ้นเป็น 678 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วสูงถึงประมาณร้อยละ 83 หรือเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ร้อยละ 56


นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG เปิดเผยว่า รายได้ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ นับว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ทุกโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วทั้งในประเทศไทย และประเทศญี่ปุ่น สามารถจำหน่ายไฟฟ้าได้ตามแผนเต็มไตรมาส จากการที่มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากโครงการโซลาร์สหกรณ์ (ขนาดกำลังการผลิต 12 เมกะวัตต์) และโครงการโรงไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น โครงการ Nagi (ขนาดกำลังการผลิตตามสัญญา 10.5 เมกะวัตต์) แต่ลดลงจากไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ร้อยละ 4 เป็นผลมาจากความเข้มแสงที่ต่ำกว่าไตรมาสที่ 2 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากไตรมาสที่ 3 เป็นช่วงฤดูฝน ทำให้สภาพอากาศมีเมฆฝนมากในช่วงดังกล่าว

สำหรับในไตรมาสนี้ บริษัทได้รับผลกระทบจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิประมาณ 166 ล้านบาท โดยมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 89 ล้านบาท และขาดทุนจากสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า 255 ล้านบาท ทำให้ผลกำไรสุทธิคิดเป็น 514 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 43 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ร้อยละ 11 การขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นการขาดทุนที่เกิดจากสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศสกุลเหรียญสหรัฐฯ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับเงินลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซีย ในช่วงเวลาประมาณ 3 เดือน ระหว่างช่วงเวลาที่บริษัทได้รับการอนุมัติให้ลงทุน และเวลาที่บริษัทชำระค่าหุ้น ทั้งนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าวเงินสกุลบาทยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับผลการดำเนินงานใน 9 เดือนของปี 2560 บริษัทมีรายได้จากการขายไฟฟ้าประมาณ 2,542 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ประมาณเกือบร้อยละ 10 และมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนประมาณ 402 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีผลกำไรสุทธิก่อนผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน และรายการพิเศษ เท่ากับ 1,507 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ร้อยละ 42

ขณะที่ในช่วงเวลา 9 เดือนดังกล่าว บริษัทขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 283 ล้านบาท โดยมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 21 ล้านบาท และขาดทุนจากสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า ประมาณ 304 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการขาดทุนตามสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า และการแปลงค่าเงินเกี่ยวเนื่องกับการเข้าซื้อกิจการในประเทศอินโดนีเซีย ทำให้กลุ่มบริษัทมีผลกำไรสุทธิ 1,430 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ร้อยละ 0.2

“นอกจากการดำเนินงานและลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนแล้ว บีซีพีจี กำลังก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ให้บริการธุรกิจพลังงานที่ใกล้ชิดผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ด้วยการขายไฟฟ้าผ่านอินเทอร์เน็ต (Internet of Energy) ซึ่งล่าสุด เราได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนา Smart Green Energy Community หรือชุมชนพลังงานสีเขียวอัจฉริยะร่วมกับแสนสิริ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยในโครงการสามารถผลิตและใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้ด้วยตนเอง รวมถึงยังสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนไฟฟ้าระหว่างกันภายในโครงการได้อย่างเป็นรูปธรรมด้วยการใช้ blockchain technology และแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน เป็นการเพิ่มมูลค่าให้ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียน เราจึงมั่นใจว่า ธุรกิจของบีซีพีจีจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยมีรูปแบบของจำนวนเมกะวัตต์ (volume) เป็นฐาน และจะค่อย ๆ ก้าวสู่การเพิ่มมูลค่า (value) ไปในอนาคต” นายบัณฑิต กล่าวสรุป
กำลังโหลดความคิดเห็น