บริษัท เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ NEP แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทวันที่ 25 ต.ค. 2560 อนุมัติให้ลดทุนจดทะเบียน โดยยกเลิกหุ้นที่ยังไม่ได้จำหน่าย หลังจากนั้น ให้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 2.81 พันล้านบาท จากเดิม 2.35 พันล้านบาท ด้วยการออกหุ้นเพิ่มทุน 460 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท เสนอขายบุคคลในวงจำกัด (PP) คือ บริษัท วาวา แพค จำกัด (วาวา) ในราคาหุ้นละ 0.405 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 186.30 ล้านบาท ส่งผลให้วาวา เข้ามาถือหุ้นในบริษัทภายหลังการเพิ่มทุน จำนวน 19.78%
คณะกรรมการบริษัทกำหนดให้วาวา ส่งมอบเงินมัดจำจำนวน 20 ล้านบาท ให้แก่บริษัทภายในวันที่ 1 พ.ย. 60 และในวันนี้บริษัทจะได้ลงนามสัญญาจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนใหม่กับวาวา ซึ่งบริษัท และวาวา ไม่มีนโยบายการเปลี่ยนแปลงธุรกิจหลักของบริษัท โดยบริษัทจะยังคงประกอบธุรกิจต่อไปตามปกติเช่นเดิม และวาวา ตกลงจะไม่ขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ (Silent Period) ที่ได้รับจากการจองซื้อครั้งนี้ไม่ว่ากรณีใด ๆ ภายในระยะเวลา 1 ปี ขณะที่คาดว่าการจองซื้อและการชำระเงินค่าหุ้น จะเสร็จสิ้นภายใน 90 วัน นับจากวันที่ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2561 มีมติอนุมัติ โดยกำหนดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2561 ในวันที่ 18 ม.ค. 61
วาวา เป็นผู้นำทางด้านการผลิตกระสอบ Big bag และอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย และทีมงานที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี มีโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์ จำนวน 3 โรงงาน ได้แก่ โรงงานผลิตกระสอบ Big bag, โรงงานผลิต PE Blow film, และโรงงานผลิต Flexible packaging
ทั้งนี้ วาวาจะหยุดการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน (Flexible Packaging) ภายใน 3 เดือน นับจากวันที่วาวาเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ของ NEP ที่จัดสรรให้แก่วาวา ในฐานะบุคคลในวงจำกัด
วัตถุประสงค์ในการเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อลงทุนในเครื่องจักร เพิ่มสายการผลิตผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน รวมถึงเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเครื่องจักร ซึ่งแบ่งเป็น 2 ระยะ โดยระยะแรก ดำเนินการในไตรมาส 3/60 และระยะ 2 ในปี 61, เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการผลิต ช่วงปี 60-62, ขยายธุรกิจของบริษัท โดยก่อสร้างอาคารคลังสินค้า สำหรับธุรกิจผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนในปี 61 และใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ระยะสั้น 5 ล้านบาทในปี 61 และเงินกู้ยืมต่างประเทศ 25 ล้านบาทในปี 62
นอกจากนี้คณะกรรมการบริษัทอนุมัติขยายการลงทุนธุรกิจผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน มูลค่ารวม 75 ล้านบาท แบ่งเป็น การก่อสร้างอาคารคลังสินค้าในพื้นที่โรงงาน จำนวน 35 ล้านบาท และการจัดซื้อเครื่องจักร อุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน อีกจำนวน 40 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ผลิตภัณฑ์ที่มีกำไรขั้นต้นสูงให้มากขึ้น
การขยายกาลังการผลิตบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน ระยะที่ 2 จะใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 156.30 ล้านบาท แบ่งเป็น การเพิ่มสายการผลิตระยะที่ 2 จำนวน 40 ล้านบาท, ก่อสร้างอาคารคลังสินค้าบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน 35 ล้านบาท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนการผลิตบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน 81.30 ล้านบาท โดยการเพิ่มสายการผลิตระยะที่ 2 นั้น เป็นการเพิ่มสายการผลิตบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนอีกสายการผลิต เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง โดยมีอัตราผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ที่คาดว่าจะได้รับจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนไม่ต่ำกว่า 11.50%