แสนสิริ จุดพลุรับไฮซีซันไตรมาส 4/2560 เปิด 11 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 7 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท ตั้งเป้าขายไตรมาสสุดท้าย 16,000 ล้านบาท
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายของทุกปีจะเป็นช่วงที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยอย่างคึกคัก โดยเฉพาะในปีนี้ที่สัญญาณเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2560 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3-4% โดยมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการใช้จ่ายในประเทศ และภาคการท่องเที่ยว ที่เติบโตต่อเนื่อง จึงจะทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจ และตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น
โดยในช่วงไตรมาส 4/2560 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 11 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 7 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท โดยแผนการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ แบ่งเป็น โครงการที่พัฒนาภายใต้ บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง จำนวน 1 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 4,000 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริ จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 9,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งให้ในปีนี้ แสนสิริพัฒนาที่อยู่อาศัยได้รวมทั้งสิ้น 19 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 44,700 ล้านบาทตามแผนที่วางไว้
สำหรับผลการดำเนินธุรกิจในช่วง 9 เดือนของปี 2560 บริษัทมียอดขาย (พรีเซล) แล้วประมาณ 24,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากรอบ 9 เดือนของปีก่อน ซึ่งมียอดขายรวมประมาณ 20,000 ล้านบาท เกือบ 20% โดยยอดขายในรอบ 9 เดือนของปีนี้มาจากยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 14,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยทิศทางการตอบรับด้านที่อยู่อาศัยของลูกค้าในปัจจุบันให้การตอบรับที่อยู่อาศัยที่ตรงกับไลฟ์สไตล์มากขึ้น อาทิ ความสำเร็จของคอนโดมิเนียมแบรนด์ “เฮาส์” (HAUS) ที่ผ่านมา ทั้ง 3 โครงการ คือ ฮาสุ เฮาส์ (ปิดการขาย) และ โมริ เฮาส์ (ปิดการขายและลูกค้าเข้าตรวจรับมอบยูนิตพักอาศัยอย่างรวดเร็ว) ล่าสุด คือ ทากะ เฮาส์ ซึ่งเปิดการขายในเดือนกันยายนที่ผ่านมา และลูกค้าให้การตอบรับที่ดีมากทั้งจากลูกค้าคนไทย และต่างชาติ โดยเฉพาะลูกค้าชาวญี่ปุ่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ จากการเป็นคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยเป็นอย่างดี ส่งผลให้มียอดขายทะลุไปแล้วถึง 95% จ่อคิวใกล้ปิดการขาย บริษัทจึงได้เตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ เฮาส์ อีก 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 8,600 ล้านบาทในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน
นอกจากนี้ ล่าสุด บริษัทยังสามารถปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียม เดอะ เดค ป่าตอง (THE DECK) มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ที่สามารถตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในตลาดที่พักอาศัยในรูปแบบฮอลิเดโฮมในทำเลป่าตอง ภูเก็ต ได้เป็นอย่างดี ทั้งจากลูกค้าคนไทยที่ซื้อเพื่อตอบโจทย์ด้านการลงทุนจากการที่ตลาดปล่อยเช่า อาทิ อพาร์ตเมนต์ปล่อยเช่าในทำเลป่าตอง ได้รับการตอบรับที่ดี และจากชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาทำงาน หรือเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่ และพักผ่อนบริเวณชายหาดป่าตอง ซึ่งเป็นชายหาดที่มีความสวยงามทางธรรมชาติ และมีชื่อเสียงในระดับโลก โดยโครงการได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าคนไทย และชาวต่างชาติ ในสัดส่วน 49 : 51% ซึ่งนับว่าเต็มโควต้าขายตลาดต่างชาติ
“บริษัทตั้งเป้ายอดขายในไตรมาสสุดท้ายไว้สูงถึง 16,000 ล้านบาท จากความสำเร็จในการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งที่อยู่อาศัยโครงการต่าง ๆ ของบริษัทได้รับความสนใจและตอบรับจากลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติเป็นอย่างดี ทำให้บริษัทเล็งเห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจที่ชัดเจน ทั้งนี้ จากแผนการพัฒนาโครงการที่มีความแข็งแกร่ง รวมถึงไฮไลต์ทางธุรกิจที่สำคัญที่เตรียมเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 ทำให้มั่นใจว่า บริษัทจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมายที่มีการปรับเป็น 40,000 ล้านบาท” นายเศรษฐา กล่าว