บิวตี้ คอมมูนิตี้ โชว์ผลประกอบการไตรมาส 2 กำไรพุ่ง 96.9% ที่ 273.18 ล้านบาท กวาดรายได้ 887.38 ล้านบาท โต 50.9% ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.15 บาทต่อหุ้น หรือ 95.26% ของกำไรสุทธิ เผยครึ่งปีหลังขยายช่องทางการจัดจำหน่ายทุกรูปแบบทั้งในและต่างประเทศ ดันผลประกอบการทั้งปีทำนิวไฮต่อเนื่อง
นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) (BEAUTY) ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และบำรุงผิว เปิดเผยถึงผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2560 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 887.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 299.15 ล้านบาท หรือ 50.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 588.23 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 273.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 134.46 ล้านบาท หรือ 96.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 138.72 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้รวม 1,574.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 456.78 ล้านบาท หรือ 40.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 1,118.13 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 472.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 204.89 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 76.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 267.95 ล้านบาท โดยผลประกอบการของบริษัทปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากอัตราการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSS) ที่มีอยู่, การขยายช่องทางการจำหน่ายทุกรูปแบบ, ทั้งเพิ่มสาขาในประเทศและต่างประเทศ, ช่องทางจำหน่ายผ่าน Modern Trade, ร้านสะดวกซื้อ 7-11 และช่องทางออนไลน์ อี-คอมเมิร์ซ
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 60 แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.15 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น 95.26% ของกำไรสุทธิ โดยการจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดรวมทั้งสิ้น 450.41 ล้านบาท โดยจะทำการกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับปันผล (Record Date) ในวันที่ 21 ส.ค. 60 และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 8 ก.ย. 60
สำหรับแนวโน้มตลาดเครื่องสำอางในช่วงครึ่งปีหลัง เชื่อว่ายังสามารถเติบโตได้ดี เนื่องจากกำลังซื้อของกลุ่มผู้บริโภคยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และสินค้าของ BEAUTY ทุกแบรนด์ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภค มากขึ้น ซึ่งบริษัทมีแผนจะขยายสาขาของทุก Shop Brand โดยตลาดในประเทศมีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 333 สาขา โดยแบ่งเป็น BEAUTY BUFFET 251 สาขา, BEAUTY COTTAGE 71 สาขา, BEAUTY MARKET 11 สาขา
โดยเน้นการขยายสาขาออกไปตามต่างจังหวัด และหัวเมืองท่องเที่ยว และการขยายช่องทางการขายอื่น ๆ เพื่อรองรับกำลังซื้อจากกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวทั้งจีน และประเทศอื่น ๆ ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น สำหรับตลาดต่างประเทศขณะนี้ตัวแทนจำหน่ายของบริษัทในกลุ่มประเทศ CLMV มีนโยบาย relocate พื้นที่ เพื่อให้ได้ทำเลที่มี potential ทำให้จำนวนสาขาที่เป็น Independent shop ขณะนี้มีทั้งสิ้น 16 สาขาในประเทศเวียดนาม และมีแผนเพิ่มตัวแทนจำหน่ายในรูปแบบของ non-exclusive distributor ใน 3 ประเทศ คือ พม่า ลาว และกัมพูชา ซึ่งขณะนี้ประเทศพม่า ได้แต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายเรียบร้อยแล้ว ส่วนในประเทศ ลาว และกัมพูชา อยู่ในระหว่างการพิจารณาของบริษัท ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1 ปี 2018 ส่วนในประเทศฟิลิปปินส์ มี 1 สาขา ซึ่งเปิดสาขาแรกเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และในครึ่งปีหลัง 2017 จะมีการขยายสาขาในประเทศฟิลิปปินส์ เพิ่มอีก 5 สาขา ในส่วนของรูปแบบ Shop in shop มี 3 ประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 131 สาขา คือ อินโดนีเซีย จำนวน 19 สาขา, ฮ่องกง 93 สาขา, ไต้หวัน 19 สาขา ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
“บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโตไม่น้อยกว่า 20% มีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 3,100 ล้านบาท และรักษาอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 20% ซึ่งเราค่อนข้างเชื่อมั่นว่าจากกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัท จะส่งให้ผลประกอบการทั้งปีเติบโตอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่วางไว้” นายแพทย์สุวิน กล่าว