xs
xsm
sm
md
lg

โบรกฯ ประสานเสียงให้ราคาเหมาะสมหุ้น JWD 11.30-13.40 บาท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

โบรกเกอร์ออกบทวิเคราะห์แนะนำซื้อหุ้น JWD หลังผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโต บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ราคาเหมาะสม 13.40 บาท หลังธุรกิจห้องเย็น และธุรกิจคลังสินค้า มีลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง คาดผลประกอบการจะเติบโตต่อไปอีกอย่างน้อย 3-4 ไตรมาส ขณะ บล. ทิสโก้ ประเมินราคาเหมาะสมใหม่ปี 2561 อยู่ที่ 11.40 บาท จากการฟื้นตัวของธุรกิจคลังสินค้าและห้องเย็นในกลุ่ม CLMV และโอกาสทำ M&A ในอนาคต ส่วน บมจ. หลักทรัพย์ธนชาต ให้ราคาเหมาะสม 11.30 บาท หลังคาดการณ์ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโตได้ดีเช่นกัน

บริษัทหลักทรัพย์ได้ออกบทวิเคราะห์ให้คำแนะนำซื้อหุ้น บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจให้บริการลอจิสติกส์ภาคพื้นดินอย่างครบวงจร หลังคาดการณ์ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำสะสมหุ้น JWD และให้ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 13.40 บาท เนื่องจากคาดการณ์ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/60 มีแนวโน้มเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า จากการฟื้นตัวของธุรกิจห้องเย็น และธุรกิจคลังสินค้า ที่มีลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งคาดการณ์ผลประกอบการจะเติบโตได้อีกอย่างน้อย 3-4 ไตรมาส โดยมีปัจจัยเกื้อหนุนจากอัตราการเช่าพื้นที่ห้องเย็นที่เพิ่มขึ้น และธุรกิจศูนย์กระจายสินค้าเคมีภัณฑ์ที่คาดว่าจะเริ่มทำกำไรตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปีนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ ยังมีประเด็นบวกจากการที่บริษัทฯ มีแผนขายสินทรัพย์เข้า REITs

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ออกบทวิเคราะห์แนะนำซื้อหุ้น JWD จากการฟื้นตัวของธุรกิจคลังสินค้า และห้องเย็น ในกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ กัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมา และเวียดนาม และโอกาสการทำ M&A เข้าควบรวมกิจการในอนาคต โดยคาดการณ์ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/60 จะเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้าเช่นเดียวกัน เนื่องจากธุรกิจหลักฟื้นตัว และต้นทุนการบริหารและการขาย (SG&A) ปรับลดลง จึงประเมินราคาเหมาะสมใหม่ในปี 2561 อยู่ที่ 11.40 บาท

ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเคราะห์หุ้น JWD ให้คำแนะนำซื้อเช่นเดียวกัน โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 11.30 บาท เนื่องจากคาดการณ์ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโตได้ดี อีกทั้งมีการขยายธุรกิจใหม่ที่ร่วมทุนกับกลุ่มสยามกลการ และการขยายกองรถปิกอัปที่ใช้ในการบรรทุกสินค้าเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ธุรกิจบริหารจัดการคลังสินค้า และลานจอดพักรถ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักเริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัว หลังจากความต้องการใช้พื้นที่ห้องเย็นที่คลังสินค้ามหาชัย ฟื้นตัวสู่ระดับปกติที่ 35,000 ตัน ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จากเดือนพฤศจิกายน 2559 อยู่ที่ 18,000 ตัน
 
ส่วนโครงการศูนย์กระจายสินค้าเคมีภัณฑ์ มีอัตราการใช้พื้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 60% ในช่วงปลายไตรมาส 2/60 จากไตรมาส 1/60 อยู่ที่ 40% และยังได้รับผลดีจากการเริ่มเปิดให้บริการศูนย์รวมการเก็บ และกระจายสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รวมถึงคาดว่า ความต้องการใช้บริการคลังสินค้ากลุ่มยานยนต์จะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการให้บริการแบบ On-Site Service ภายในพื้นที่โรงงานของลูกค้าเพิ่มขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น