คลัง เตรียมปรับขึ้นภาษีสุรา-ยาสูบต้นปี 61 รองรับกองทุนผู้สูงอายุ เชื่อกระทบราคาขายไม่มาก
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะมีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตสุราและยาสูบในปี 61 เพื่อรองรับการสมทบเงินในกองทุนผู้สูงอายุที่คาดว่า ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ผู้สูงอายุ ฉบับใหม่จะมีผลบังคับใช้ช่วงต้นปีหน้า แต่จะเป็นการปรับขึ้นในอัตราที่น้อยมาก ซึ่งไม่น่าจะมีผลกระทบทำให้ราคาขายสินค้าปรับเพิ่มขึ้นมาก
“ไม่น่ามีผลกระทบให้ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้นมาก เพราะเป็นการปรับขึ้นภาษีแต่น้อยมาก ขณะที่เงินที่ได้เพิ่มขึ้นจะเอาไปช่วยแก้ปัญหาของภาครัฐในการดูแลผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย” นายกฤษฎา กล่าว
นายกฤษฎา กล่าวว่า ความจำเป็นในการนำเงินจากภาษีสรรพสามิตส่งเข้ากองทุนผู้สูงอายุ เนื่องจากผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยซึ่งมีจำนวนประมาณ 3.5 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 ของจำนวนผู้สูงอายุทั้งประเทศ สมควรได้รับการดูแลจากรัฐให้มีความมั่นคงทางรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างน้อยในระดับพื้นฐาน
ประกอบกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอให้กองทุนผู้สูงอายุมีบทบาทในการดูแล และให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น โดยจัดหาแหล่งเงินอื่นเข้ามาสมทบในกองทุนผู้สูงอายุ เพื่อให้กองทุนสามารถให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ในร่าง พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ ฉบับใหม่ กำหนดแหล่งเงินเพิ่มเติมสำหรับกองทุนผู้สูงอายุ โดยให้ได้รับเงินบำรุงกองทุนในอัตราร้อยละ 2 ของภาษีที่เก็บจากสินค้าสุราและยาสูบตามกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต แต่ไม่เกินปีละ 4,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ประสงค์จะบริจาคเข้ากองทุนผู้สูงอายุตามโครงการสละสิทธิรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ก็จะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่นำมาจัดสรรเป็นเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยต่อไป
สำหรับผู้มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือเพื่อการยังชีพจะต้องเป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และเป็นผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งกระทรวงการคลังจะพิจารณากำหนดจำนวนเงินที่จะจ่ายให้แก่ผู้สูงอายุรายได้น้อย ให้สอดคล้องกับจำนวนเงินกองทุนผู้สูงอายุที่จัดหามาได้ตามแหล่งเงินที่กล่าวมาข้างต้น
“การแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ผู้สูงอายุฯ จะรองรับการดำเนินมาตรการให้เงินช่วยเหลือเพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ในการดำรงชีพ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้สูงวัยกว่า 2-3 ล้านคนทั่วประเทศ” นายกฤษฎา กล่าว
ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า การกำหนดสัดส่วนเงินเพื่อส่งเข้ากองทุนผู้สูงอายุเพิ่มจากภาษีสรรพสามิตสุรา ยาสูบ และเบียร์ ในอัตรา 2% และจากมาตรการให้ผู้สูงอายุที่มีฐานะดีสละสิทธิรับเบี้ยยังชีพคนชรา เพื่อบริจาคเข้ากองทุนดังกล่าว โดยมีกำหนดเพดานเงินกองทุนไว้ที่ 4 พันล้านบาท วงเงินดังกล่าวน่าจะเพียงพอในการดูแลผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยในปัจจุบัน โดยที่ผ่านมา พบว่ามีผู้สูงอายุที่มีฐานะดีแสดงความประสงค์ที่จะเข้าร่วมโครงการสละสิทธิรับเบี้ยคนชราเป็นจำนวนมาก ตรงนี้ก็จะทำให้กองทุนผู้สูงอายุมีเงินเข้ามาใช้ในการดูแลกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น