xs
xsm
sm
md
lg

อิงเกรส เคาะราคา IPO 1.33 บาท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


อิงเกรส อินดัสเตรียล ประกาศเสนอขายหุ้นสามัญเดิมเละหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 578 ล้านหุ้นในราคา 1.33 บาทในสัปดาห์หน้า เคาะราคาไอพีโอที่หุ้นละ 1.33 บาท หวังระดมทุนเพื่อใช้ชำระหนี้ และเป็นทุนหมุนเวียน

นายดาโต๊ะ ราเมลี่ บิน มูซา รองประธานกรรมการ บริษัท อิงเกรส อินดัสเตรียล (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ INGRS ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ระดับอาเซียน กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่ได้เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของอาเซียนรายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งกลุ่มบริษัทจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 578,442,900 หุ้น ในราคาหุ้นละ 1.33 บาท (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท) ให้กับนักลงทุนทั่วไป โดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) คิดเป็น 40% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปลงทุนในโครงการใหม่ ๆ เพื่อรองรับคำสั่งซื้อของลูกค้า และใช้คืนเงินกู้ของกลุ่มบริษัท รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

นายอับดุล ราฮิม บิน ฮายี ฮิตัม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิงเกรส อินดัสเตรียล (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เราเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ชั้นนำระดับอาเซียน ซึ่งผลิตสินค้าส่งออกทั่วโลกโดยบริษัทตั้งเป้าเป็นบริษัทอาเซียนที่มีฐานลูกค้ากระจายทั่วโลก บริษัทประกอบด้วยบริษัทย่อยทั้งหมด 9 บริษัทใน 4 ประเทศ คือ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และอินเดีย ซึ่งบริษัทมีจุดแข็ง คือ ความสามารถด้านเทคโนโลยีการผลิต และยังพัฒนาความแข็งแกร่งในด้านนวัตกรรมการผลิต เช่น โรงงานผลิตที่มีเทคโนโลยีสูง มุ่งเน้นที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ ที่มีคุณภาพสูงสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำมากกมาย เช่น ฮอนด้า, มิตซูบิชิ, ฟอร์ด, มาสด้า, เจนเนอรัล มอร์เตอร์, อีซูซุ, ซูซุกิ, นิสสัน, โตโยตา, ไดฮัทสุ, เพอโรดัว และโปรตอน ซึ่งเป็นรถประจำชาติของมาเลเซีย รวมถึงบริษัทรถยนต์ในอินเดีย อาทิ มารูติ-ซูซุกิ เฟียต และมหินดรา-มหินดรา เราคาดว่า ตลาดรถยนต์อาเซียนจะมีการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง และตลาดอินเดียจะมีการขยายตัวอย่างสูง การที่บริษัทฯ ยังมีเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงที่ได้รับการรับรองจากนานาชาติ บวกกับความชำนาญเฉพาะด้านของบุคลากร ทำให้บริษัทฯ สามารถแข่งขันในตลาดที่มีศักยภาพสูงเพื่อสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่ง และยั่งยืน ผลิตภัณฑ์ของเราได้รับการจัดจำหน่ายให้กับฐานลูกค้าที่หลากหลายตั้งแต่รถยนต์นั่ง สปอร์ตยูทิลิตี (SUV) รถบรรทุกกระบะหนึ่งตัน และรถบรรทุกขนาดเล็กในทุกประเทศในกลุ่มอาเซียน

นางสาววันทนา เพชรฤกษ์วงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า “เราเชื่อว่า ราคาหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ INGRS ที่ 1.33 บาท ตามที่ได้เซ็นสัญญาการรับประกันการ จัดจำหน่ายในวันนี้ เป็นราคาที่เหมาะสม และจะเป็นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน เพราะ INGRS เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในเอเชียระดับ tier-1 และมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ใน 4 ประเทศ ดังนั้น จึงมีการบริหารความเสี่ยงที่ดีกว่าบริษัทอื่น ที่ดำเนินกิจการหลักในประเทศไทยที่เดียว การประเมินค่าราคาเสนอขาย IPO มีส่วนลดพอสมควรจากราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ ซึ่งคาดว่า ธุรกิจของบริษัทฯ จะมีการเติบโตที่แข็งแกร่งในช่วง 2 ปีนี้
 
ส่วนการจองหุ้น IPO ของ INGRS คาดว่า นักลงทุนจะสามารถจองได้ที่บริษัทผู้จัดจำหน่าย และรับประกันการจัดจำหน่าย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) บริษัท หลักทรัพย์ เคทีบี จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้ โดยรายละเอียดการเสนอขายทั้งหมดอยู่ในแบบแสดงรายการข้อมูลซึ่งจะคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 กรกฎาคม

ทั้งนี้ บริษัท อิงเกรส อินดัสเตรียล (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) มีทุนจดทะเบียน 1,446,942,690 บาท สำหรับงบปี 2560 สิ้นสุดวันที่ 31 มกราคม 2560 บริษัทฯมีรายได้รวม 2,915.90 ล้านบาท และกำไรสุทธิ (ก่อนหักส่วนที่เป็นของผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมของบริษัทย่อย) 210.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จาก 177.00 ล้านบาท หากเทียบกับงบปี 2559 สิ้นสุดวันที่ 31 มกราคม 2559 ซึ่งบริษัทมีรายได้ 3,158.60 ล้านบาท แม้ว่ากลุ่มบริษัทฯจะต้องรับรู้การคำนวณภาษีเงินได้ใหม่ โดยไม่มีมูลค่าตามเกณฑ์ภาษีล่าสุด 32 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 7.22% แม้ว่ารายได้จะลดลงก็ตาม

อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทฯ คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นในอาเซียน และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาด INGRS มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้ และหลังการจัดสรรเงินสำรองตามกฎหมาย
กำลังโหลดความคิดเห็น