“จี สตีล-จี เจ สตีล” ปรับโครงสร้างหนี้ครั้งใหญ่ เปิดทางกองทุนบนเกาะเคย์แมน “SSG” แปลงหนี้เป็นทุน ด้วยการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ “จี สตีล” 76.09% และ “จี เจ สตีล” 42.97% พร้อมจัดทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดจากนักลงทุนรายย่อย หวังเดินหน้าธุรกิจต่อหลังจากแก้ปัญหาหนี้แล้วเสร็จ
บริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GSTEL เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 14 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้อนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการแปลงหนี้เป็นทุน สืบเนื่องจากกลุ่ม SSG ซึ่งนำโดย SSG Capital Holdings Limited (SSG CH) มีความสนใจเข้าดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ของ GSTEL และ GJS
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 พ.ค. บริษัทได้เข้าลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับ Kendrick Global Limited (KG) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SSG Capital Partners III,L.P. (SSG III) โดยภายใต้ MOU ดังกล่าว SSG III และบริษัทย่อยของ SSG III ประสงค์ที่จะดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท โดยใช้นิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ SSG CH, SSG III และ KG ได้แก่ Asia Credit Opportunities I (Mauritius) Limited (ACO I) และ Link Capital I (Mauritius) Limited (Link Capital I) เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งรวมเรียกว่า กลุ่ม SSG
โดยบันทึกความเข้าใจภายใต้ MOU ดังกล่าวนั้น กลุ่ม SSG มีแผนปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท ดังนี้
1. ACO I ได้เข้าซื้อจากเจ้าหนี้การค้าเดิมของบริษัท จำนวน 7 ราย มียอดหนี้ที่จะรับโอน ณ วันที่ 28 ก.พ. 60 รวม 226.33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 7.81 พันล้านบาท ซึ่งรวมเรียกว่าหนี้การค้า
2. ภายหลังจากการเข้าซื้อหนี้การค้าดังกล่าว บริษัทได้เข้าทำสัญญากู้ยืมเงินลงวันที่ 12 พ.ค. 60 วงเงิน 41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.41 พันล้านบาท กับ Link Capital I โดยบริษัทจะใช้วงเงินกู้จำนวน 7.05 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 243.43 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้การค้าบางส่วนให้แก่ ACO I แบ่งเป็นเงินต้น 3.98 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 137.54 ล้านบาท และดอกเบี้ย จำนวน 3.07 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 105.88 ล้านบาท โดยวงเงินกู้ในส่วนที่เหลือจากการชำระหนี้คืนบางส่วน บริษัทจะนำไปชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้รายอื่น ๆ ของบริษัทรวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการต่อไป
3. หลังการชำระหนี้คืนบางส่วนแล้ว บริษัทจะยังคงเหลือหนี้ค้างชำระกับ ACO I จำนวน 219.28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 7.57 พันล้านบาท ซึ่งจะเป็นจำนวนหนี้ก่อนการแปลงหนี้เป็นทุน
4. ACO I ได้ตกลงลดหนี้การค้า (Haircut) บางส่วน โดยการยกเลิกดอกเบี้ยคงค้าง จำนวน 95.38 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.29 พันล้านบาท ทำให้บริษัทไม่มีจำนวนดอกเบี้ยคงเหลือในจำนวนหนี้ก่อนการแปลงหนี้เป็นทุน
5. หลังจากชำระคืนหนี้บางส่วน และการลดหนี้การค้าดังกล่าว บริษัทคงเหลือจำนวนหนี้ก่อนการแปลงหนี้เป็นทุนสุทธิ 123.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 4.28 พันล้านบาท ซึ่งจะเรียกว่าเป็นหนี้การค้าสุทธิ
6. ภายใต้ MOU บริษัทประสงค์ที่จะชำระหนี้การค้าสุทธิ จำนวน 123.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการจัดสรร และเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทตามโครงการแปลงหนี้เป็นทุน
โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท อนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติจัดสรร และเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 2.18 หมื่นล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 5 บาท ให้แก่ ACO I เพื่อชำระหนี้การค้าสุทธิ จำนวน 123.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามโครงการแปลงหนี้เป็นทุน โดยบริษัทจะกำหนดราคาแปลงหนี้เป็นทุนที่ราคาหุ้นละ 0.1961 บาท รวมเป็นมูลค่า 4.28 พันล้านบาท
บริษัทจะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1.87 แสนล้านบาท จากเดิมที่ 4.88 หมื่นล้านบาท โดยออกหุ้นใหม่ไม่เกิน 2.77 หมื่นล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 5 บาท แบ่งเป็น จัดสรรไม่เกิน 3.43 พันล้านหุ้น เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน (RO) อัตราส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ราคาหุ้นละ 0.1961 บาท, จัดสรรไม่เกิน 2.18 หมื่นล้านหุ้น ให้แก่ ACO I ตามโครงการแปลงหนี้เป็นทุน ที่ราคาหุ้นละ 0.1961 บาท ซึ่งหลังจากแปลงหนี้เป็นทุนครั้งนี้ จะทำให้ ACO I เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท จำนวน 76.09% ส่วนหุ้นเพิ่มทุนที่เหลือจัดสรรใช้รองรับการปรับสิทธิของ GSTEL-W1 ,GSTEL-W2 และ GSTEL-W3
ภายใต้แผนการปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าว บริษัทจะได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจาก Link Capital I ตามสัญญากู้ยืมเงินที่มีจำนวน 41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 1.41 พันล้านบาท มีระยะเวลากู้ยืม 5 ปี มีวงเงินเพื่อเบิกใช้ 3 วงเงิน คือ วงเงินกู้ส่วนที่หนึ่งจำนวน 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 310.58 ล้านบาท ซึ่งจะเบิกใช้วงเงินกู้ส่วนนี้เพื่อชำระหนี้คืนบางส่วนแก่ ACO I, วงเงินกู้ส่วนที่สอง จำนวน 14.07 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 485.54 ล้านบาท ใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนดำเนินธุรกิจ และวงเงินกู้ส่วนที่สาม เพื่อใช้ชำระหนี้ต่าง ๆ ที่มีอยู่กับกลุ่มมหาชัย
ทั้งนี้ หลังจากการปลดหนี้ จำนวน 242.53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 8.37 พันล้านบาท ได้ทั้งจำนวน และการได้รับสนับสนุนในแหล่งเงินทุนใหม่ตามสัญญานั้น จะทำให้มีแหล่งเงินทุนเพียงพอในการประกอบธุรกิจ และสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้อย่างปกติ และคาดว่าจะส่งผลให้บริษัทสามารถเสริมสร้างรายได้และผลกำไรได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทกำหนดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 30 ส.ค. 60 เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว
บริษัท จี เจ สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GJS แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 14 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยที่ประชุมมีมติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติโครงการแปลงหนี้เป็นทุน โดยภายใต้ MOU กลุ่ม SSG มีแผนปรับโครงสร้างหนี้ของ GJS
1. ACO I ได้เข้าซื้อหุ้นจากเจ้าหนี้การค้าเดิมของ GJS จำนวน 4 ราย รวม 91.59 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3.16 พันล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้การค้า
2. ภายหลังจากการเข้าซื้อหนี้การค้าแล้ว GJS ได้เข้าทำสัญญากู้ยืมเงินในวงเงิน 71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.45 พันล้านบาท กับ Link Capital I โดยเมื่อวันที่ 2 ก.พ. ได้เบิกเงินกู้ส่วนหนึ่ง จำนวน 41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.41 พันล้านบาท เพื่อชำระหนี้การค้าบางส่วนให้แก่ ACO I เป็นจำนวน 40.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 1.39 พันล้านบาท
3. ACO I ได้ตกลงลดหนี้การค้าบางส่วน โดยยกเลิกดอกเบี้ยคงค้าง จำนวน 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 517.64 ล้านบาท ทำให้ GJS คงเหลือดอกเบี้ย จำนวน 3.63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 125.41 ล้านบาท
4. หลังการชำระหนี้คืนบางส่วน และการลดหนี้ทางการค้าแล้ว เมื่อวันที่ 26 เม.ย. บริษัทได้ชำระหนี้เพิ่มเติมให้แก่ ACO I เป็นจำนวน 480,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 16.56 ล้านบาท ซึ่งทำให้ GJS คงเหลือหนี้การค้า จำนวน 35.93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.24 พันล้านบาท
5. จากการเจรจาเพิ่มเติมกับ ACO I ทาง ACO I มีข้อเสนอเพิ่มเติม คือ ก่อนที่จะดำเนินการตามโครงการแปลงหนี้เป็นทุน ACO I จะลดหนี้การค้าเพิ่มเติม โดยจะยกเลิกดอกเบี้ย จำนวน 2.99 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 103.37 ล้านบาท โดย GJS จะคงเหลือดอกเบี้ยคงค้างที่จะนำมาแปลงหนี้เป็นทุน จำนวน 588,367 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 20.3 ล้านบาท
6. ภายใต้ MOU ดังกล่าว GJS จะชำระหนี้การค้าสุทธิ จำนวน 32.35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.12 พันล้านบาท และดอกเบี้ยคงค้างที่จะนำมาแปลงหนี้เป็นทุน จำนวน 588,367 ดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็นหนี้ที่จะนำมาแปลงหนี้เป็นทุน 32.93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.14 พันล้านบาท ซึ่งจะรวมเรียกว่า หนี้การค้าสุทธิ
ที่ประชุมคณะกรรมการ GJS อนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติจัดสรร และเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 3.34 พันล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 6.90 บาท ให้แก่ ACO I โดยกำหนดราคาแปลงหนี้เป็นทุนที่หุ้นละ 0.3400 บาท รวมเป็นมูลค่า 1.14 พันล้านบาท เพื่อชำระหนี้การค้าสุทธิดังกล่าว
ดังนั้น คณะกรรมการบริษัทอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1.29 แสนล้านบาท จากเดิมที่ 1.03 แสนล้านบาท โดยออกหุ้นใหม่ไม่เกิน 3.79 พันล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 6.90 บาท แบ่งจัดสรรไม่เกิน 3.34 พันล้านหุ้น ให้แก่ ACO I กำหนดราคาแปลงหนี้เป็นทุนที่ราคาหุ้นละ 0.3400 บาท เพื่อชำระหนี้การค้าสุทธิ ภายหลังการแปลงหนี้เป็นทุนดังกล่าว ACO I จะเข้ามาถือหุ้นใน GJS ทางตรง จำนวน 24% และทางอ้อมผ่าน GSTEL จำนวน 18.97% รวมเป็นการถือหุ้น จำนวน 42.97% ส่วนหุ้นเพิ่มทุนที่เหลือจัดสรรใช้รองรับการปรับสิทธิ GJS-W2, GJS-W3 และ GJS-W4
พร้อมกันนี้ ยังจะเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น GJS เพื่อขออนุมัติการผ่อนผันการทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท