สคร. ยันแผนตั้งกองทุน กทพ. จะเสร็จสิ้นในปีนี้ ระบุในวันที่ 12 ก.ค. นี้ ที่ประชุม บอร์ด กทพ. เตรียมพิจารณาร่างสัญญาโอนรายได้ค่าผ่านทางศรีรัชช์ และบูรพาวิถี สัดส่วน 45% เข้ากองทุนฯ หากไม่มีปัญหาส่งต่ออัยการสูงสุดพิจารณา คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 1 เดือนก่อนยื่นไฟลิ่งขอตั้งกองทุนฯ กับ ก.ล.ต.
นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ยืนยันถึงแผนการจัดตั้งกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ว่าจะเสร็จสิ้นได้ภายในปี 2560 ส่วนการขายหน่วยลงทุนจะเป็นไปตามช่วงเวลาที่เหมาะสม และในขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณใด ๆ ที่จะเป็นสาเหตุให้เลื่อนแผนการจัดตั้งกองทุนฯ ตามที่เคยกำหนดไว้ในปีนี้ โดยในวันที่ 12 ก.ค. ที่จะถึงจะมีการนำร่างสัญญา
การโอนกระแสรายได้จากการให้บริการค่าผ่านทางจาก 2 โครงการ คือ โครงการทางพิเศษฉลองรัชและโครงการทางด่วนเส้นบูรพาวิถี สัดส่วน 45% ของ กทพ. ไปสู่กองทุนฯ เข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมของ กทพ. เพื่อให้เป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไปแล้ว
ทั้งนี้ หากคณะกรรมการ กทพ. ได้อนุมัติตัวร่างสัญญาการโอนรายได้โดยไม่มีประเด็นที่เป็นข้อสังเกตเพิ่มเติมจากที่ประชุมแล้ว ก็จะสามารถนำร่างสัญญาเสนอให้อัยการสูงสุดพิจารณาต่อไป โดยคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือนเศษในการพิจารณา และหากหลังการตรวจร่างสัญญาจากอัยการสูงสุดโดยไม่มีข้อเสนอใปรับปรุงแก้ไขร่างสัญญา กทพ. จะสามารถจัดทำไฟลิ่งเพื่อยื่นให้คณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พิจารณาอนุมัติการจัดตั้งกองทุนของ กทพ. ได้โดยกระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในปีนี้
อย่างไรก็ตาม การระดมทุนโดยการขายหน่วยลงทุนของกองทุนนั้น ยังต้องพิจารณาถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมของตลาด และสิ่งที่สำคัญ คือ ยังต้องพิจารณาความพร้อมในการใช้เงินลงทุนที่ได้จากการขายหน่วยลงทุนไปใช้เพื่อขยายเส้นทางของตัวโครงการทางด่วนพิเศษพระราม 3-ดาวคะนอง ที่ต้องสอดคล้องกับระยะเวลาของการลงทุน เพื่อป้องกันการแบกรับภาระต้นทุนจากการะดมทุนที่ไม่สอดคล้องกับช่วงเวลาที่ต้องมีการใช้เงินลงทุนในแต่ละช่วงจริง ๆ ทั้งนี้ โครงการลงทุนดังกล่าวได้ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว โดยกระบวนการต่อไป คือ กทพ. ต้องเปิดให้มีการประมูลเพื่อหาเอกชนเข้าร่วมโครงการ รวมทั้งยังต้องมีการเวนคืนที่ดิน ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
รองผู้อำนวย สศค. ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงความคาดหมายรายได้ที่เกิดจากการขายหน่วยลงทุน กทพ. ในครั้งนี้น่าจะมีราว 45,000 ล้านบาท แต่สุดท้ายแล้ว กองทุนฯ จะสามารถระดมทุนได้จริงเท่าใดนั้น จะขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ว่า นักลงทุนจะให้คุณค่ากับอนาคตของทั้ง 2 โครงการมากน้อยแค่ไหน
ทั้งนี้ การระดมทุนโดยขายหน่วยลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลครั้งนี้ถือเป็นการระดมทุนเป็นครั้งแรก โดยรัฐบาลได้นำโครงการเดิมที่มีรายได้อยู่แล้วมาเป็นสินทรัพย์หนุนหลัง และกระทรวงการคลังยืนยันจะไม่มีการรับประกันผลตอบแทนการลงทุนแก่ผู้ซื้อหน่วยลงทุนของกองทุน กทพ. อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่มีผลตอบแทนสูง (Upside Gain) จะกำหนดกลไกในการแบ่งปันผลประโยชน์ไว้ในสัญญาโอนรายได้ค่าผ่านทางของ กทพ. ด้วย
นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ยืนยันถึงแผนการจัดตั้งกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ว่าจะเสร็จสิ้นได้ภายในปี 2560 ส่วนการขายหน่วยลงทุนจะเป็นไปตามช่วงเวลาที่เหมาะสม และในขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณใด ๆ ที่จะเป็นสาเหตุให้เลื่อนแผนการจัดตั้งกองทุนฯ ตามที่เคยกำหนดไว้ในปีนี้ โดยในวันที่ 12 ก.ค. ที่จะถึงจะมีการนำร่างสัญญา
การโอนกระแสรายได้จากการให้บริการค่าผ่านทางจาก 2 โครงการ คือ โครงการทางพิเศษฉลองรัชและโครงการทางด่วนเส้นบูรพาวิถี สัดส่วน 45% ของ กทพ. ไปสู่กองทุนฯ เข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมของ กทพ. เพื่อให้เป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไปแล้ว
ทั้งนี้ หากคณะกรรมการ กทพ. ได้อนุมัติตัวร่างสัญญาการโอนรายได้โดยไม่มีประเด็นที่เป็นข้อสังเกตเพิ่มเติมจากที่ประชุมแล้ว ก็จะสามารถนำร่างสัญญาเสนอให้อัยการสูงสุดพิจารณาต่อไป โดยคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือนเศษในการพิจารณา และหากหลังการตรวจร่างสัญญาจากอัยการสูงสุดโดยไม่มีข้อเสนอใปรับปรุงแก้ไขร่างสัญญา กทพ. จะสามารถจัดทำไฟลิ่งเพื่อยื่นให้คณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พิจารณาอนุมัติการจัดตั้งกองทุนของ กทพ. ได้โดยกระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในปีนี้
อย่างไรก็ตาม การระดมทุนโดยการขายหน่วยลงทุนของกองทุนนั้น ยังต้องพิจารณาถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมของตลาด และสิ่งที่สำคัญ คือ ยังต้องพิจารณาความพร้อมในการใช้เงินลงทุนที่ได้จากการขายหน่วยลงทุนไปใช้เพื่อขยายเส้นทางของตัวโครงการทางด่วนพิเศษพระราม 3-ดาวคะนอง ที่ต้องสอดคล้องกับระยะเวลาของการลงทุน เพื่อป้องกันการแบกรับภาระต้นทุนจากการะดมทุนที่ไม่สอดคล้องกับช่วงเวลาที่ต้องมีการใช้เงินลงทุนในแต่ละช่วงจริง ๆ ทั้งนี้ โครงการลงทุนดังกล่าวได้ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว โดยกระบวนการต่อไป คือ กทพ. ต้องเปิดให้มีการประมูลเพื่อหาเอกชนเข้าร่วมโครงการ รวมทั้งยังต้องมีการเวนคืนที่ดิน ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
รองผู้อำนวย สศค. ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงความคาดหมายรายได้ที่เกิดจากการขายหน่วยลงทุน กทพ. ในครั้งนี้น่าจะมีราว 45,000 ล้านบาท แต่สุดท้ายแล้ว กองทุนฯ จะสามารถระดมทุนได้จริงเท่าใดนั้น จะขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ว่า นักลงทุนจะให้คุณค่ากับอนาคตของทั้ง 2 โครงการมากน้อยแค่ไหน
ทั้งนี้ การระดมทุนโดยขายหน่วยลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลครั้งนี้ถือเป็นการระดมทุนเป็นครั้งแรก โดยรัฐบาลได้นำโครงการเดิมที่มีรายได้อยู่แล้วมาเป็นสินทรัพย์หนุนหลัง และกระทรวงการคลังยืนยันจะไม่มีการรับประกันผลตอบแทนการลงทุนแก่ผู้ซื้อหน่วยลงทุนของกองทุน กทพ. อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่มีผลตอบแทนสูง (Upside Gain) จะกำหนดกลไกในการแบ่งปันผลประโยชน์ไว้ในสัญญาโอนรายได้ค่าผ่านทางของ กทพ. ด้วย
