ก.ล.ต. ร่วมกับสมาคม ซีเอฟเอ ไทยแลนด์ จัดงานสัมมนา Thailand Investment Conference 2017 ในหัวข้อ Putting Investors First มุ่งพัฒนาตลาดทุนด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มตลอดห่วงโซ่การดำเนินธุรกิจทางการเงินโดยคำนึงถึงประโยชน์ของผู้ลงทุนเป็นลำดับแรก
ก.ล.ต. ร่วมกับสมาคม ซีเอฟเอ ไทยแลนด์ จัดงานสัมมนา Thailand Investment Conference 2017 ในหัวข้อ Putting Investors First เนื่องในโอกาสที่ ก.ล.ต. ครบรอบ 25 ปี และสมาคม ซีเอฟเอ ไทยแลนด์ ครบรอบ 15 ปี เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2560 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซนเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ การเงิน และตลาดทุนทั้งใน และต่างประเทศ มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของลูกค้า และผู้ลงทุนเป็นลำดับแรก ก่อนผลตอบแทน หรือกำไรของผู้ประกอบธุรกิจ
นายรพี สุจริตกุล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า การคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้ลงทุนจะสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนได้ในระยะยาว ก.ล.ต. จึงอยากขอให้ผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุนได้หันมาสำรวจ และร่วมกันทำให้การดำเนินธุรกิจเน้นการสร้างความยั่งยืน และความมั่นคงในชีวิตของลูกค้า และผู้ลงทุนเป็นลำดับแรก
อย่างไรก็ตาม แนวคิดการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผู้ลงทุนเป็นลำดับแรกนั้น สอดคล้องกับประกาศเจตจำนงในการดำเนินพันธกิจของ ก.ล.ต. ในการเสริมสร้างธรรมาภิบาลในการประกอบธุรกิจของผู้มีส่วนร่วมในตลาดทุน ทั้งด้านผู้ออกหลักทรัพย์ และผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและผลตอบแทนอย่างยั่งยืนของผู้ลงทุน ธุรกิจ และสังคมควบคู่กันไป ผ่านการผลักดันให้เกิดวัฒนธรรมภายในองค์กรของผู้ประกอบธุรกิจเอง และแรงผลักดันจากผู้ร่วมตลาดอย่างต่อเนื่องนอกเหนือจากการออกกฎเกณฑ์
ขณะเดียวกันในการเสวนา หัวข้อ “วาณิชธนกิจ (Investment Banking)” โดยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในห่วงโซ่ธุรกิจ ทั้งที่ปรึกษาทางการเงิน ผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ นักวิเคราะห์ และผู้ลงทุน แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่มีโอกาสเกิดขึ้น และส่งผลกระทบไปถึงผู้ลงทุน เนื่องจากสถาบันการเงินที่เป็นตัวกลางทำหน้าที่หลายอย่าง และเครือธุรกิจมีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น การทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ออกหลักทรัพย์ และผู้ลงทุน อาจทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ให้กู้, ที่ปรึกษาทางการเงิน, ผู้จัดจำหน่าย, นักวิเคราะห์ หรือผู้แนะนำการลงทุน รวมถึงการจัดการเงินลงทุนแก่ลูกค้า ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแล และป้องกัน อาจทำให้ผู้ลงทุนได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน หรือลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่ไม่ตรงกับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้
นอกจากนี้ ผู้ร่วมเสวนาให้ข้อเสนอแนะในหลายด้าน อาทิ การกำหนดนโยบายการบริหาร และป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่ชัดเจน การจัดตั้งคณะกรรมการพิจารณาความขัดแย้งในระดับเครือธุรกิจ การมีระบบควบคุมภายในที่ดี การยกระดับการทำหน้าที่ของตัวกลางทางการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลให้ผู้ลงทุนเข้าใจถึงความเสี่ยง และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การประกอบธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนเกิดความเชื่อมั่น และสร้างผลประโยชน์ในระยะยาวให้กับธุรกิจได้
สำหรับการเสวนาเกี่ยวกับ “ธุรกิจจัดการลงทุน” เป็นการแลกเปลี่ยนมุมมอง และประสบการณ์ตั้งแต่การออกกองทุน การเปิดเผยข้อมูล การเสนอขายและการจัดการกองทุน โดยมีข้อเสนอแนะให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ควรให้ความสำคัญกับการจัดทำ และการเปิดเผยข้อมูลสำคัญให้อยู่ในรูปแบบที่น่าสนใจ และทันสมัย พัฒนากองทุนที่สามารถเพิ่มคุณค่า และตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุน รวมถึงมีกระบวนการตัดสินใจลงทุนที่รอบคอบ และระบบควบคุมที่เข้มงวดรัดกุม เพื่อให้มั่นใจว่า การจัดการลงทุนเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ลงทุนอย่างแท้จริง สำหรับผู้ขายกองทุนรวมควรให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพกระบวนการขายตั้งแต่การคัดเลือกผลิตภัณฑ์ การอบรมความรู้ให้กับผู้ขายสามารถอธิบายความเสี่ยง และลักษณะเฉพาะของกองทุนให้กับผู้ลงทุนได้อย่างถูกต้อง รวมถึงการให้คำแนะนำที่เหมาะสมที่ต่างกันสำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่ม การใช้เทคโนโลยีทางการเงิน หรือฟินเทค โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีความเป็นอิสระจะมีส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้สะดวกมากขึ้น โดยจะได้รับคำแนะนำที่ครบถ้วน เหมาะสม และเป็นกลาง รวมทั้งยังสามารถช่วยวิเคราะห์พอร์ตการลงทุนโดยรวมของผู้ลงทุนได้อีกด้วย ทั้งนี้ ผู้ร่วมเสวนาต่างเห็นพ้องกันว่า ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันในการผลักดันให้เกิดวัฒนธรรม Putting Investors First ขึ้นในธุรกิจจัดการกองทุน
“ผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุนตระหนักถึงบทบาทสำคัญในการทำให้ผู้ลงทุนรู้จักปกป้องผลประโยชน์ และดูแลการลงทุนของตนเอง รวมถึงบทบาทของผู้กำกับดูแลที่ควรเน้นชี้นำตลาดทุนให้สามารถพัฒนาท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสภาพแวดล้อม และเทคโนโลยี ตลอดจนไม่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างนวัตกรรม” Mr. Andrew Stotz กล่าวทิ้งท้าย