ผู้บริหาร เจ.เอส.พี. มั่นใจภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปีนี้เติบโต สัญญาณบอกเหตุ ไตรมาสแรกมีมูลค่า 1.02 แสน ล. เติบโต 14% ชี้กลุ่มทาวน์โฮม ราคา 3-5 ล้านบาท เปิดเพิ่มถึง 332% ระบุผลจากการปรับตัว ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ในตระกูล “เจ ซีรีย์” ส่งผลให้ยอดโอนที่อยู่อาศัยปลายไตรมาส 4 ต่อเนื่องถึงต้นปี โชว์ผลงานโดดเด่น คาดทุกไตรมาสทำนิวไฮยอดโอน วางโมเดล 5 ปี ยอดรับรู้รายได้โตเพิ่ม 20% ทุกปี ลุ้นเป้าหลุดหมื่นล้านบาท
นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี.แอสพลัส จำกัด และรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ. เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ หรือ JSP กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2560 คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 409,400 ล้านบาท (ปี 59 กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีมูลค่าการเปิดโครงการ 3.7 แสนล้านบาท) โดยพิจารณาจากในไตรมาส 1 ธุรกิจอสังหาฯ มีมูลค่า 102,350 ล้านบาท เติบโต 14% (โครงการคอนโดฯ เปิดมากสุดมูลค่า 53,483 ล้านบาท) และเป็นไตรมาสที่มีมูลค่าสูงสุดในรอบ 4 ปี ซึ่งกลุ่มทาวน์โฮม ขนาด 2-5 ล้านบาท มีการเปิดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะระดับราคา 3-5 ล้านบาท มีการเปิดเพิ่มถึง 332%
ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนต่อการเติบโตของภาคอสังหาฯ คือ สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศเริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัวจากการใช้จ่ายของภาครัฐ โดยการที่มีการเพิ่มเม็ดเงินลงทุนในโครงการต่างๆ ในส่วนของการท่องเที่ยวยังเติบโตได้อย่างเห็นได้ชัดเจน ทำให้เกิดความเชื่อมั่นกับนักลงทุน ส่งผลให้มีการเปิดโครงการใหม่ของผู้ประกอบการ และจะเป็นการช่วยกระตุ้นตลาดให้คึกคักมากขึ้น
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ทั้งเรื่องเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวเร็วตามที่คาด นโยบายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ยังต้องจับตา และเรื่องของราคาน้ำมัน และราคาวัสดุก่อสร้างยังคงผันผวน
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท นายไพโรจน์ กล่าวถึงผลสำเร็จว่า หลังจากบริษัทได้ปรับแนวพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยให้มาเพิ่มน้ำหนักโครงการแนวราบมากขึ้น เพิ่มหน้าร้าน เพิ่มบ้านพร้อมอยู่ ผ่านการปรับภาพลักษณ์รีแบรนด์ใหม่ในกลุ่มโครงการ "เจ ซีรีส์" ซึ่งลูกค้าให้การตอบรับค่อนข้างมาก ส่งผลให้ยอดโอนตั้งแต่ปลายปี 59 ปรับตัวดีขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงมาอยู่ที่ตัวเลข 1,585 ล้านบาท ส่วนในไตรมาสแรกปี 60 สามารถทำยอดโอนได้สูงถึง 1,043 ล้านบาท และคาดว่า ในไตรมาส 2 ตัวเลขการโอนจะทำนิวไฮมาอยู่ที่ 1,100 ล้านบาท ไตรมาส 3 คาด 1,350 ล้านบาท และ 1,550 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ของปีนี้ รวมแล้วทั้งปีจะมีรายได้ตามเป้าประมาณ 5,000 ล้านบาท อย่างแน่นอน เนื่องจากครึ่งปีคาดทำได้ 2,200 ล้านบาท และที่เหลือจะมาจากยอดขายรอโอน (แบ็กล็อก) ที่มีอยู่ 3,900 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายไดในช่วงที่เหลือของปีนี้ประมาณ 2,900 ล้านบาท แยกเป็นแนวราบ 2,000 ล้านบาท และคอนโดฯ 900 ล้านบาท
"ตามโมเดลธุรกิจ คาดว่าในระยะ 5 ปี ตัวเลขรับรู้รายได้จะเติบโตปีละ 20% จากระดับ 5,000 ล้านบาท ไปสู่ระดับ 9,000 ล้านบาทในปี 2564 และอาจจะไปถึงระดับหมื่นล้านบาท"
ในส่วนของการลงทุนโครงการใหม่นั้น ช่วงครึ่งปีหลังเปิดอีก 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2,110 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 2 โครงการ คือ โครงการ J VILLA วงแหวน-บางใหญ่ และโครงการ J City ติวานนท์-บางกระดี ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมจะมีเปิดใหม่อีก 1 โครงการ คือ โครงการ J Condo พระราม 2 ซึ่งเป็นไปตามแผนงานการเปิดโครงการใหม่ของบริษัทในปีนี้ที่วางแผนเปิด 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ มีแผนการจัดแคมเปญใหญ่เพื่อระบายสต๊อกโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังเหลือขาย ภายใต้ชื่องาน JSP Outlet Grand Sale โดยจะนำโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังเหลือขายมูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท จำนวน 800 ยูนิต เพื่อเป็นการระบายสต๊อกของบริษัท และสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น
ล่าสุด ได้เปิดตัวโครงการ เจ แกรนด์ สาทร-กัลปพฤกษ์ เป็นทาวน์โฮม 3 ชั้น บนพื้นที่กว่า 12 ไร่ จำนวน 120 ยูนิต มูลค่า 575 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 4.19 ล้านบาท มูลค่า โครงการ 575 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการโมเดลต้นแบบของโครงการที่มีการนำนวัตกรรมการออกแบบดีไซน์บ้านในลักษณะ J ID หรือ J Intelligent Design มาตรฐานของบ้านอันชาญฉลาดของ เจ.เอส.พี. เข้ามาใช้ เพื่อเพิ่มมูลค่าบ้านให้ผู้บริโภค ทั้งนี้ โครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จกลางปี 2561 โดยเริ่มทยอยโอนในช่วงเดือนกรกฎาคม 2560.