"อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค" มั่นใจไตรมาส 2 ฟอร์มดีทุกกลุ่มธุรกิจ ลุยตลาดเฟอร์นิเจอร์ทั้งใน และต่างประเทศต่อเนื่อง พัฒนาผลิตภัณฑ์ ออกดีไซน์ใหม่ จับกลุ่มลูกค้าทุกระดับ เล็งขยายสาขา Can Do อย่างน้อย 3 แห่งในปีนี้ เตรียมรับรู้รายได้ COD โรงไฟฟ้าชีวมวล PWGE จ.นราธิวาส ภายในมิถุนายน เดินหน้าซื้อหุ้น 20% GEP ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 220 MW ประเทศเมียนมา คาดรับรู้รายได้ปี 61 ขณะที่ผลงาน Q1/60 ทุบสถิติสูงสุด กวาดรายได้ 409.75 ล้านบาท กำไรสุทธิ 18.63 ล้านบาท
นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (ECF) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจของ ECF ในช่วงไตรมาส 2 มีทิศทางที่ดี สามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากธุรกิจผลิต และจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ ร้านค้าปลีก Can Do และธุรกิจพลังงานทดแทน โดยในส่วนของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ตลาดต่างประเทศมีความคึกคักมากขึ้น จากกลุ่มลูกค้าหลักในญี่ปุ่นที่เพิ่มปริมาณการสั่งซื้อ และมีลูกค้ารายใหม่เข้ามาเพิ่มเติม
ขณะที่ตลาดเฟอร์นิเจอร์ในประเทศกำลังซื้อค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทจะเน้นการทำตลาดของทุกแบรนด์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มตั้งแต่ระดับ A ถึง C โดยจะมีการออกสินค้าดีไซน์ใหม่ให้ตอบโจทย์การใช้งาน และเทรนด์การตกแต่ง ทยอยปรับปรุง และขยายสาขาโชว์รูมของแบรนด์ต่างๆ ให้มีความทันสมัย รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน ส่วนธุรกิจร้านค้าปลีกรูปแบบร้าน 100 เยน (60 บาท) “Can Do” ปัจจุบันมีสาขารวม 7 แห่ง ได้แก่ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต, ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์, เดอะ พาซิโอ พาร์ค กาญจนาภิเษก, โฮมโปร รัตนาธิเบศร์, โฮมโปร ราชพฤกษ์ อินเด็กซ์ ลีฟวิ่ง มอลล์ บางใหญ่ และลิตเติ้ล วอล์ค บางนา และในวันศุกร์ที่ 16 มิ.ย.นี้ จะเปิดเพิ่มอีก 1 แห่ง คือ สาขาเมเจอร์รัชโยธิน
สำหรับธุรกิจพลังงานทดแทน โรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล บริษัท ไพร์ซ ออฟ วู้ด กรีน เอนเนอร์จี จำกัด (PWGE) ขนาดกำลังการผลิตจำหน่ายไฟ 6.6 เมกะวัตต์ จากกำลังการผลิตติดตั้ง 7.5 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัท เซฟ เอนเนอร์จี โฮลดิ้งส์ จำกัด (SAFE) ประกอบด้วย บริษัท อีซีเอฟ พาวเวอร์ จำกัด (ECF-Power) บริษัทย่อยของ ECF ถือหุ้น 33.37% และ FPI ถือหุ้น 33.37% ได้เข้าลงทุนในช่วงก่อนหน้านี้ จะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ นอกจากนี้ ที่ประชุมวิสามัญหุ้นได้มีมติอนุมัติให้ ECF-Power เข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 220 เมกะวัตต์ ของบริษัท พลังงานเพื่อโลกสีเขียว (ประเทศไทย) จำกัด (GEP) ณ เมืองมินบู รัฐมาเกวย ประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยเข้าซื้อหุ้นสามัญของ GEP ในสัดส่วน 20% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการซื้อขายหุ้น ซึ่งโครงการจะแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 4 เฟส โดยคาดว่าเฟสที่ 1 จะสามารถจำหน่ายไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2561
ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 1 ปีนี้ บริษัทมีรายได้รวม 409.74 ล้านบาท เป็นตัวเลขรายได้ไตรมาส new high เมื่อเทียบกับช่วงอดีตที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 383.77 ล้านบาท จำนวน 25.97 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6.77% และมีกำไรสุทธิ 18.63 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 24.99 ล้านบาท ผลจากบริษัทย่อยที่ผลการดำเนินงานยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ประกอบกับยังไม่สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจด้านพลังงาน ขณะที่รับรู้ค่าใช้จ่ายแล้ว แต่ทั้งนี้ หากเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 59 บริษัทสามารถสร้างกำไรสุทธิได้เพิ่มขึ้น 244.34%
ทั้งนี้ รายได้ของ ECF ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์มียอดขายเติบโตสูงขึ้นจากในประเทศที่เติบโตประมาณ 21% ขณะที่รายได้ส่งออกยังสามารถรักษาระดับรายได้ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าต่างประเทศ 59% ภายในประเทศ 41%