xs
xsm
sm
md
lg

“ภัทร” เมินหุ้นไทยโตช้า ผลตอบแทนน้อย คาด SET Index สิ้นปีหืดจับ 1,600 จุด (ชมคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าทีมวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)
บล.ภัทร ประเมินดัชนีหุ้นไทยปีไก่ทองอยู่ในกรอบ 1,600 จุด เหตุเศรษฐกิจในประเทศยังเติบโตได้ช้า ต่ำกว่าภาพรวมของโลก และการลงทุนภาคเอกชนยังชะงักงัน กดผลตอบแทนต่ำกว่าคาด แนะกระจายความเสี่ยงขยายการลงทุนหุ้นนอก เน้นตลาดเกิดใหม่ทั้งเอเชีย-ยุโรป-ลาตินอเมริกา เนื่องจากราคาหุ้นยังไม่ปรับตัวขึ้นหลังเศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว



นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าทีมวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ว่า บริษัทประมาณการดัชนี้ SET Index ในปีนี้จะอยู่ที่ระดับประมาณ 1,600 จุด สอดคล้องกับทิศทางการขยายตัวของ GDP ภายในประเทศที่จะขยายตัวประมาณร้อยละ 3.4 เทียบจากปีที่ผ่านมา ซึ่งขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 3.2 โดยปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังคงอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมการส่งออก สะท้อนออกมาในด้านบวก ซึ่งผลักดันให้เติบโตขึ้นได้ถึงร้อยละ 3.5 จากปีก่อน ซึ่งอยู่ในสภาวะการที่ขาดทุน

ขณะที่ในส่วนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปีนี้ มองว่ามีทิศทางที่สดใส และสามารถขยายตัวได้ดี จากนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยว และมาตรการทางภาษี รวมถึงอานิสงส์การลงทุนภาครัฐในโครงการต่อเนื่องขนาดใหญ่ อาทิ รถไฟฟ้าสายสีต่างๆ รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ และการให้สิทธิประโยชน์การลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC เพื่อระดมเม็ดเงินการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการลงทุนภาคเอกชนนั้น มองว่าในปีนี้ยังอยู่ในสภาวะที่ยังไม่น่าจะดีมากนัก เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในหลายอุตสาหกรรมที่ประกาศออกมาในไตรมาสแรกน้อยกว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งส่งผลไปถึงการบริโภคภายในประเทศด้วย
  
“เราปรับลดระดับความน่าสนใจในการลงทุนหุ้นไทยลง โดยมองว่า การลงทุนในหุ้นไทยครึ่งปีหลังนี้ยังไม่มีอะไรที่น่าสนใจมากนัก เนื่องจากทิศทางการเติบโตของ GDP ภายในประเทศยังเป็นไปอย่างล่าช้า ขณะที่ในส่วนของต่างประเทศนั้น มีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่มีความชัดเจนกว่า ทั้งในด้านของผลตอบแทน และความคุ้มค่าของการลงทุน อีกทั้ง เป็นทางเลือกในการกระจายความเสี่ยง โดยเฉพาะตลาดทุนในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป ที่ราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสูงนัก ซึ่งหากนักลงทุนพิจารณาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียง 1-2% ขณะที่ในฟากทวีปยุโรป กลับให้ผลตอบแทนสูงถึง 7-8% ส่วนตลาดเกิดใหม่ให้ผลตอบแทนมากถึง 10% ซึ่งเฉลี่ยทั่วโลกให้ผลตอบแทนสูงถึง 11%”
  
อย่างไรก็ตาม หุ้นต่างประเทศที่นักลงทุนควรเลือกไปลงทุน ได้แก่ หุ้นกลุ่มเอเชีย หุ้นในยุโรป ที่มีราคาถูก และหุ้นในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา ซึ่งตลาดหุ้นเหล่านี้สะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจออกมาในทิศทางบวกอย่างมีนัยสำคัญ โดยก่อนหน้านี้ IMF ประเมินว่า GDP ของโลกจะขยายตัวในปีนี้ที่ร้อยละ 3.5 และจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.6 ในปี 2561 และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้อย่างชัดเจนมากกว่าในประเทศไทย

ขณะที่ในส่วนของปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศนั้น มองว่ากรณีการ์ตา และการเลือกตั้งทในประเทศอังกฤษ จะมีผลกระทบระยะสั้น และอยู่ในวงจำกัดเท่านั้น และไม่มีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
  
ทั้งนี้ สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความระมัดระวัง คือ แนวโน้มที่กระแสเงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอการลงทุนในหุ้นไทย และหันไปลงทุนในตลาดพันธบัตรทดแทน เนื่องจากมองว่า ตลาดพันธบัตรไทยมีอัตราความเสี่ยงต่ำ และมีแนวโน้มว่า เงินทุนต่างชาติจะไหลกลับไปยังตลาดสหรัฐฯ มากขึ้น โดยประเด็นหลักมาจากการที่ตลาดคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น