ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น หวังสร้างผลกำไรโตต่อเนื่อง จากโครงสร้างธุรกิจใหม่ที่วางไว้เป็น 4 สายธุรกิจ สื่อสารโทรคมนาคม พลังงานทดแทน พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และร้านขายของชำแนวใหม่ มั่นใจเร็วๆ นี้จะได้โครงการโซลาร์ฟาร์มเป็น 30 เมกะวัตต์ สร้างรายได้และกำไรต่อเนื่อง 25 ปี ด้านโครงการอสังหาฯ เดอะเพเซอร์ พัทยา จะรับรู้ได้ประมาณ 200 ล้านบาทในปีนี้ ขณะธุรกิจหลักด้านสื่อสารโทรคมนาคม ก็มีโอกาสเติบโตจากการขายสินค้า บริการ และวางโครงข่ายไฟเบอร์ออปติก ส่วนสายธุรกิจล่าสุดที่เป็นร้านขายของชำแนวใหม่ จะเป็นดาวเด่นอีกดวงในอนาคต
นางปิยะนุช รังคสิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TWZ เปิดเผยว่า ในปลายเดือนมิถุนายนนี้ จะทราบผลของผู้ที่ได้ดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (โซลาร์ฟาร์ม) สำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร ระยะที่ 2 ซึ่งจากการพิจารณารายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติ พื้นที่ตั้งโครงการ และจุดเชื่อมโยงระบบไฟฟ้ากับการไฟฟ้าแล้ว ทาง TWZ มั่นใจว่า โอกาสที่พันธมิตรของบริษัทฯ จะได้โครงการรอบสองนี้ไม่น่าจะน้อยกว่า 5 โครงการ โครงการละ 5 เมกะวัตต์ รวมเป็น 25 เมกะวัตต์ และเมื่อรวมกับที่มีอยู่แล้ว 5 เมกะวัตต์ ก็จะทำให้บริษัทย่อยของ TWZ มีโครงการโซลาร์ฟาร์มรวม 30 เมกะวัตต์ ตามเป้าหมายที่วางไว้
ทั้งนี้ ธุรกิจพลังงานทดแทนโครงการแรกของกลุ่มบริษัทฯ คือ โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 5 เมกะวัตต์ ผ่านบริษัท มาสเทค ทูล แอนด์ เซอร์วิส จำกัด หรือมาสเทค (MASTECH) และได้ขายไฟฟ้าเข้าระบบตั้งแต่ปลายปี 2559 ที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทำให้บริษัทฯ มีประสบการณ์ และความมั่นใจที่จะขยายธุรกิจด้านนี้ โดยได้เข้าทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับหลายบริษัทที่ผ่านการคัดเลือกคุณสมบัติให้เข้าจับสลาก ซึ่งกำหนดวันจับสลากคัดเลือกในวันที่ 26 มิถุนายน และจะประกาศผลวันที่ 28 มิถุนายนนี้
ประธานกรรมการบริหาร TWZ กล่าวด้วยว่า การรับรู้รายได้เชิงพาณิชย์จากการขายไฟฟ้า จำนวน 5 เมกะวัตต์ สร้างรายได้ประมาณปีละ 40 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเฉลี่ยเกือบ 20 ล้านบาทต่อปี หากได้ 30 เมกะวัตต์ คิดเป็นรายได้ประมาณ 240 ล้านบาทต่อปี เป็นกำไรสุทธิเกือบ 120 ล้านบาทต่อปี เป็นระยะเวลานานถึง 25 ปี ซึ่งจะเป็นรายได้และกำไรที่สร้างความมั่นคงให้กับบริษัทในระยะยาว โดยบริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายระยะ 3 ปีนี้ว่า จะพยายามทำโครงการไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนให้ได้ 100 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้มีกำไรเฉลี่ย 350-400 ล้านบาทต่อปี
สำหรับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ TWZ ซึ่งได้ลงทุนโครงการเดอะเพเซอร์ พัทยา มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ขณะนี้มียอดจองแล้วประมาณ 40% หรือประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งจะมีการโอน และรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้ เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2560 โดยมีอัตรากำไรประมาณ 20%
ด้านธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งยังคงเป็นธุรกิจหลักของ TWZ นั้น บริษัทฯ ยังเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค และมั่นใจว่า จะเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ผู้ให้บริการเครือข่ายต่างๆ จะไม่ได้นำสมาร์ทโฟนของตนเองมาใช้สนับสนุนการขายมากมายเหมือนในช่วงที่ผ่านๆ มา ดังนั้น โอกาสการขายของ TWZ จึงมีมากขึ้น ทั้งการขายให้กับผู้บริโภคโดยตรง ขายผ่านตัวแทนจำหน่าย และขายจำนวนมากๆ ให้กับโอเปอเรเตอร์รายใหญ่ รวมไปถึงการเป็นผู้วางระบบ และบริหารจัดการโครงข่ายไฟเบอร์ออปติก ซึ่งจะทำให้รายได้และกำไรในสายธุรกิจนี้เติบโตมากขึ้น
นางปิยะนุช กล่าวด้วยว่า อีกสายธุรกิจหนึ่ง ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบในการลงทุนก็คือ ธุรกิจร้านขายของชำแนวใหม่ ที่จะสามารถสร้างรายได้ทั้งจากการขายสินค้าและบริการเติมเงินชำระเงินต่างๆ ซึ่งมีโอกาสการเติบโตที่สูงมาก
“การจัดโครงสร้างธุรกิจใหม่เป็น 4 สายธุรกิจดังกล่าวข้างต้น จะทำให้ TWZ เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง มั่นคง และกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งได้เป็นอย่างดี” ประธานกรรมการบริหาร TWZ กล่าว