โมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ บริษัทที่ปรึกษาอสังหาฯ ชี้แนวโน้มต่างชาติหันอยู่ในไทยหลังเกษียณอายุเพิ่มมากขึ้น ระบุญี่ปุ่น จีน สวีเดน ตลาดใหญ่ พร้อมวอนรัฐขยายเวลาวีซาเป็น 3-5 ปี กรณีซื้อบ้านในไทย หวังจูงใจชาวต่างชาติซื้ออสังหาฯ ก่อนหนีไปประเทศเพื่อนบ้านที่ให้เวลาวีซานานกว่า
นายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ บริษัทที่ปรึกษาทางด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ชาวต่างชาติหันมาอยู่อาศัยในไทยในวัยเกษียณอายุ และเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากไทยเป็นเมืองน่าอยู่อากาศดี คนไทยเป็นกันเอง ซึ่งจากผลสำรวจยังพบว่า ไทยเป็นประเทศที่ชาวต่างชาตินิยมมาใช้ชีวิตหลังเกษียนมากที่สุดในภูมิภาค
นอกจากนี้ ยังพบว่า มีชาวญี่ปุ่น และชาวจีน หันมาพักอาศัยในไทยหลังเกษียณเพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าชาวญี่ปุ่น และจีน จะเป็นอันดับหนึ่งที่มาใช้ชีวิตในไทยหลังเกษียณ จากเดิมที่เป็นชาวสแกนดิเนเวีย
“กลุ่มรีไทร์เมนต์ถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มลูกค้าสำคัญที่เข้ามาซื้อ หรือเช่าซื้ออสังหาฯ ในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่นั้น จะนิยมพักอาศัยในจังหวัดเมืองท่องเที่ยว ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของแต่ละชาติ เช่น ญี่ปุ่นจะนิยมอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ และพัทยา จีนจะนิยมอยู่ที่เมืองชายทะเล โดยเฉพาะพัทยา เนื่องจากใช้เวลาเดินทางจากสนามบินไม่นาน ซึ่งชาวจีนยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเพื่อให้นักลงทุนชาวจีนออกไปลงทุนในต่างประเทศ โดยมีสถาบันการเงินอย่างไชน่าแบงก์ ปล่อยกู้เพื่อให้สินเชื่อรายย่อย และคิดในอัตราพิเศษ 4% เป็นต้น” นายวสันต์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม การเข้ามาอาศัยอยู่ในไทยในวัยหลังเกษียณนั้น ยังมีข้อจำกัด โดยเฉพาะเรื่องของระยะเวลาวีซาที่ให้เพียง 3-12 เดือนเท่านั้น ซึ่งกลุ่มผู้สูงอายุเหล่านี้ไม่ต้องการเดินทางบ่อย หากรัฐบาลขยายเวลาวีซาสำหรับผู้ที่ซื้อหรือเช่าซื้อบ้านในไทยออกเป็น 3-5 ปี หรือมากกว่านั้น จะทำให้ไทยกลายเป็นเป้าหมายหลักในการเข้ามาพักอาศัยหลังเกษียณมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง ยังช่วยระบายสต๊อกที่อยู่อาศัยที่ยังคงค้างในตลาดจำนวนมาก
นอกจากนี้ รัฐบาลยังสามารถกำหนดให้ชาวต่างชาติเหล่านี้นำเงินมาฝากไว้กับสถาบันการเงินเพื่อค้ำประกันขณะอยู่อาศัยในเมืองไทยได้อีกด้วย ก่อนที่ชาวต่างชาติเหล่านี้จะหันไปซื้อในประเทศเพื่อนบ้านที่ให้เวลาวีซานานกว่า อาทิ เวียดนาม มาเลเชีย ให้ถึง 10 ปี
จัดสัมมนาแนะเจ้าของโรงแรมจะทะเบียนตามกฎหมาย
นายวสันต์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ต้องการให้ภาครัฐจดทะเบียนโรงแรมให้ถูกต้อง เพื่อให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศเติบโตอย่างยั่งยืน โดยได้นำเสนอเชียงใหม่ โมเดล เป็นต้นแบบ เนื่องจากปัจจุบัน โรงแรมในเชียงใหม่มีอยู่กว่า 3,000 แห่ง หรือกว่า 32,000 ห้อง ในจำนวนนี้มีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงแรมถูกต้องตามกฎหมายพียง 21,000 ห้องเท่านั้น ส่วนใหญ่ที่ไม่มีใบอนุญาตจะเป็นรูปแบบเกสต์เฮาส์ โฮสเทล อพาร์ตเมนต์ บ้าน และคอนโดมิเนียมที่นำมาปล่อยเช่ารายวัน
โดยสาเหตุหลักที่เจ้าของห้องพักเหล่านี้ไม่จดทะเบียน ส่วนหนึ่งเกิดกลัวว่า จะต้องเสียภาษี หรือค่าใช่จ่ายในการจดทะเบียนในอัตราที่สูง ขาดความรู้ความเข้าใจ เกรงว่าการจดทะเบียนโรงแรมจะทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในอัตราที่สูง
โดยกฎกระทรวงที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรมปี 2559 นั้น เปิดช่องให้ผู้ที่ต้องการดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง สามารถดำเนินการได้ เช่น การต่อเติมอาคารต้องมีการดัดแปลงอาคารภายใน 2 ปี นับจากวันที่ 19 ส.ค.2559 ผ่านครบปี ซึ่งเหลือระยะเวลาอีก 1 ปีเท่านั้น และกรณีของเปลี่ยนการใช้อาคารมาเป็นประกอบธุรกิจโรงแรม ให้ทำภายใน 5 ปี หรือภายในเดือน ส.ค.2563