ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดตลาดส่งท้ายปีวันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 59 ไปที่ 1,542.94 จุด เพิ่มขึ้น 5.13 จุด เปลี่ยนแปลง +0.33% มูลค่าการซื้อขาย 38,687.15 ล้านบาท สูงกว่าเมื่อวันพุธที่ 30 ธันวาคม 2558 ซึ่งปิดที่ 1,288.02 จุดถึง 254.92 จุด หรือ 19.79%
ทั้งนี้ นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 3,547.61 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 2,943.63 ล้านบาท ขณะที่บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1,258.93 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 5,232.31 ล้านบาท
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวันสุดท้ายของปีสามารถยืนปิดแดนบวกได้ จากที่นักลงทุนต่างชาติที่กลับมาซื้อสุทธิวานนี้ (29 ธ.ค.) และยังได้แรงหนุนจาก LTF, RMF รวมถึงการทำ Window Dressing ด้วย
แนวโน้มการลงทุนวันที่ 4-6 ม.ค.60 คาดว่า ตลาดฯ คงจะแกว่งไซด์เวย์ เนื่องจากวอลุ่มเทรดอาจยังไม่เข้ามาเต็มที่ อีกทั้งต้องระวังแรงขายทำกำไร เพราะตลาดฯ ได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 6 วันสุดท้ายของปี 59 อีกทั้งช่วงต้นปีจะมีแรงขายจาก LTF ที่หมดอายุ พร้อมแนะนำให้จับตาทิศทางเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะจะมีผลต่อ Fund Flow อีกทั้งยังต้องรอดูนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมให้แนวรับ 1,510 จุด ส่วนแนวต้าน 1,550-1,560 จุด
สอดคล้องกับฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ที่ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ตลาดหุ้นไทยในปี 2560 ยังเป็นปีที่ท้าทาย เนื่องจากยังมีแรงกดดันต่างประเทศ โดยเฉพาะความเสี่ยงที่ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) มีโอกาสที่จะถอนตัวออกจาก EU หลังจากช่วงกลางปี 2559 ที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรได้ลงประชามติ Brexit ตามด้วยอิตาลี ที่น่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ใน 1Q60
ขณะที่วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป ยังไม่คลี่คลายนับตั้งแต่ปี 2552 อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของประเทศกลุ่ม PIIGS (โปรตุเกส อิตาลี ไอร์แลนด์ กรีซ และสเปน) ยังคงสูงกว่า 100% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถตัดลดงบประมาณ เพื่อลดปัญหาขาดดุลงบประมาณได้
ตรงข้ามกับสหรัฐฯ ที่มีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่อง และกำลังเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น โดยประเมินว่า ปี 2560 มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยได้ถึง 1% จากเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดย Fed ได้ปรับเพิ่ม GDP Growth ปี 2559-2560 เป็น 1.9% และ 2.1% จากเดิม 1.8% และ 2% ตามลำดับ
ส่วนพื้นฐานของตลาดหุ้นไทย หากพิจารณากำไรสุทธิของตลาดรวมในปี 2560 จะอยู่ที่ 9.52 แสนล้านบาท คิดเป็น EPS ที่ 99.78 บาทต่อหุ้น เติบโต 7.85% YoY ซึ่งนับว่าชะลอตัวลงจาก 34% แต่ก็อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับบางประเทศในแถบเอเซีย
