บมจ.ประกันภัยต่อ ประเมินรายได้จากเบี้ยประกันภัยปี 2560 ไม่น้อยกว่า 6,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นไม้น้อบกว่า 8-10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ปรับเป้าธุรกิจประกัน เน้นกลุ่มสุขภาพมากขึ้น
นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยรับประกันภัยต่อ หรือ THRE กล่าวว่า บริษัทฯ ประเมินเบี้ยประกันรวมปี 2560 คาดว่าจะเติบโตไม้น้อยกว่า 8-10% หรือประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งประเด็นหลักมาจากการที่ภาพรวมธุรกิจประกันวินาศภัยในปีหน้านั้น จะเติบโตอยู่ที่ 3-3.5% จากในปีนี้ที่มีอัตราเติบโตอยู่ที่ 1% ซึ่งประเภทธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเป็นพิเศษ คือ ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล และประกันสุขภาพ
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาภาพรวมของธุรกิจประกันในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจประกันวินาศภัยเติบโต เทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ซึ่งมีอัตราเติบโตมากกว่า 2 เท่า แต่ทั้งนี้ ในช่วงระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจนี้กลับมีการเติบโตลดน้อยลง และต่ำกว่าอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP
ขณะที่ภาพรวมของผลประกอบการบริษทัในปีนี้ คาดว่าเบี้ยประกันจะมียอดรับรวมตามเป้าหมายที่ประมาณ 5,300-5,400 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนเแรกของปีนี้ มีเบี้ยรับรวมที่ 4,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นการเติบโตจากการรับประกันภัยนาข้าวทั่วประเทศมากกว่า 20 ล้านไร่ คิดเป็นสัดส่วนเบี้ยประกันกว่า 3,000 ล้านบาท จากปี 2558 ที่มีพื้นที่ประกันอยู่ที่ 1.5 ล้านไร่ นอกจากนี้ ยังมีในส่วนของระบบการประกันสุขภาพของหน่วยงานข้าราชการที่จะเพิ่มเติมเข้ามาอีกด้วย
นอกจากนี้ ในส่วนของแนวทางการเข้าไปลงทุนทำธุรกิจในต่างประเทศนั้น บริษัทวางแผนในการที่จะเข้าไปขยายตลาดธุรกิจประกันกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ กัมพูชา, ลาว, พม่า และเวียดนาม รวมถึงศรีลังกา และอินโดนีเซีย อีกด้วย โดยปัจจุบัน บริษัทได้ร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นในประเทศเวียดนามในการร่วมทำธุรกิจประกัน พร้อมทั้งเตรียมที่จะเสนอขายผลิตภัณฑ์ใหม่ อย่างไรก็ตาม บริษัทประเมินสัดส่วนรายได้รวมจากการเข้าไปลงทุนในต่างประเทศ คาดว่าจะเติบโตขึ้นถึง 5-10% ภายในปี 61
“เงินกองทุนของบริษัทในขณะนี้มีปริมาณที่มากพอถึง 327% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ คปภ. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย) กำหนดไว้ขั้นต่ำที่ 140% ซึ่งมากพอต่อการขยายธุรกิจทั้งในประเทศ และต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน ขณะที่มีพอร์ตการลงทุนของบริษัทฯ นั้น ปัจจุบันนี้อยู่ที่ 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็น พันธบัตร และเงินฝาก จำนวน 50% ส่วนที่เหลือเข้าลงทุนในหุ้น และกองทุนอสังหาฯ ตลอดจนอินฟราสตักเจอร์ฟันด์อีก 30% ที่เหลือเป็นหน่วยลงทุนอื่นๆ โดยสามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า 4% อย่างไรก็ตาม ในปี 2560 บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายที่จะขยายการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนในรูปแบบนี้ต่อไป”