บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง โชว์ความแข็งแกร่งปี 59 ในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นผันผวน พร้อมเป้าหมายปี 60 เน้นรักษาในสิ่งที่ดี ได้แก่ ความเป็นมืออาชีพ จรรยาบรรณในการทำงาน ระบบงาน และบริการที่มีเสถียรภาพ คงความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มลูกค้า พร้อมขยายการลงทุนวิจัยด้านการวิจัยและพัฒนา เตรียมบุกขยายการลงทุนต่างประเทศ พร้อมรุกระบบเทรดออนไลน์ เป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในด้าน Fin-tech ที่ต้องมีความพร้อมทั้งเทคโนโลยี บุคลากร และทุน
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET เปิดเผยว่า ศักยภาพ และความสำเร็จของเมย์แบงก์ กิมเอ็ง ในปี 2559 นั้น ถือเป็นปีแห่งความท้าทายของบริษัท เนื่องด้วยความผันผวนของทิศทางตลาดหุ้น แต่เมื่อพิจารณาจากผลประกอบการไตรมาส 3 พบว่า บริษัทเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 2558 สะท้อนความแข็งแกร่งของเมย์แบงก์ กิมเอ็ง และความเชื่อมั่นที่บริษัทได้รับจากลูกค้ามาตลอด โดยเมย์แบงก์ กิมเอ็ง มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การดูแลประมาณกว่า 350,000 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 8-9 ในเดือนตุลาคม 2559 ปัจจุบัน เรามีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 9.1
ขณะที่ฟิทช์เรทติ้ง (Fitch Ratings) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เพิ่งปรับอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทขึ้นถึง 2 ครั้งในปีนี้ โดยล่าสุด ได้รับความน่าเชื่อถืออันดับ AA+ (tha) แนวโน้ม “มีเสถียรภาพ” ซึ่งเป็นการจัดอันดับสูงที่สุดในธุรกิจหลักทรัพย์เทียบเท่า 4 ธนาคารใหญ่ของประเทศ นอกจากนั้น บริษัทยังได้รับรางวัลจากอัลฟ่า เซาธ์อีสท์เอเชีย (Alpha Southeast Asia) อีก 2 รางวัล ได้แก่ โบรกเกอร์ยอดเยี่ยมแห่งทศวรรษ ด้านลูกค้าบุคคล (2550-2559) และโบรกเกอร์ยอดเยี่ยมแห่งทศวรรษ ด้านลูกค้าสถาบัน (2550-2559) กลายเป็นปีทองของบริษัทต้อนรับครึ่งปีหลังเพื่อเริ่มสิ่งดีๆ ในปีหน้า
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MBKET เปิดเผยว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ครองแชมป์โบรกเกอร์อันดับ 1 ของประเทศ คือ ทรัพยากรบุคคล ผู้มีประสบการณ์การทำงานสูง มีจรรยาบรรณในการทำงาน ดูแลเอาใจใส่ลูกค้าอย่างใกล้ชิด ทั้งลูกค้าสถาบัน และลูกค้าบุคคล
โดยกลุ่มลูกค้าบุคคล เรามีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 12 และกลุ่มสถาบันในประเทศบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 6 ซึ่งเรียกได้ว่า อยู่ในกลุ่มโบรกเกอร์สถาบันระดับแถวหน้าของประเทศไทย ที่สำคัญ การที่เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มีเครือข่ายทั่วโลก ทำให้ลูกค้าของบริษัทได้รับข่าวสารสำคัญจากต่างประเทศอย่างรวดเร็ว มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ทำให้เราสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารของประเทศต่างๆ มากขึ้นอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ เรายังมีทีมไอทีที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในธุรกิจหลักทรัพย์ เพราะการซื้อขายหลักทรัพย์ต้องมีเสถียรภาพ ซึ่งบริษัทได้ลงทุนในระบบไอทีเป็นจำนวนเงินกว่า 590 ล้านบาท
สำหรับ “ฟินเทค” (Fin-tech) ที่ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากต่ออุตสาหกรรมการเงินในปัจจุบัน เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ได้มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในด้านนี้ โดยมองว่าองค์ประกอบของฟินเทคไม่ได้มีเพียงเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการประกอบกันระหว่างฟิน (ไฟแนนซ์) และเทค (เทคโนโลยี) ซึ่งเมย์แบงก์ กิมเอ็ง ยืนยันว่า มีทั้งความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ และความคิดสร้างสรรค์ในเรื่องของการซื้อขายออนไลน์ บวกกับทุนขนาดใหญ่มูลค่าประมาณ 4,800 ล้านบาท สำหรับการพัฒนานวัตกรรม
รวมทั้งมีทีมวิจัยที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ผลงานเป็นที่นิยมทั้งนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนบุคคล และพร้อมจะเสริมด้วยเทคโนโลยี ส่งผลให้เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ได้ยกให้สำนักงาน (ประเทศไทย) เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของภูมิภาค (Innovation Lab) ที่พร้อมจะก้าวไปสู่ยุคประเทศไทย 4.0 ตามจุดมุ่งหมายของรัฐบาล
สำหรับเป้าหมายในปี 2560 ของเมย์แบงก์ กิมเอ็ง คือ รักษาในสิ่งที่ดี ได้แก่ ความเป็นมืออาชีพ จรรยาบรรณในการทำงาน ระบบงาน และบริการที่มีเสถียรภาพ คงความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มลูกค้า ขยายการลงทุนวิจัยด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุน ซึ่งขยายขอบเขตจากแบบดั้งเดิมไปสู่แบบออนไลน์มากขึ้น อาทิ ระบบเทรดอัตโนมัติ (Algorithmic Trading) พัฒนาแพลตฟอร์มตราสารหนี้ กองทุน และการเพิ่มตราสารอนุพันธ์ หรือธุรกิจใหม่ๆ
ตลอดจนการขยายโอกาสการลงทุนไปต่างประเทศในกลุ่มประเทศเป้าหมาย เช่น เวียดนาม ซึ่งถือว่ามีศักยภาพในการเติบโตสูงมาก ส่วนทิศทางระยะยาว กลุ่มเมย์แบงก์ ตั้งใจครองความเป็นสถาบันที่มีความโดดเด่น บริหารธุรกิจหลักทรัพย์เหมือนธุรกิจธนาคาร มีความต่อเนื่องในการพัฒนาคุณภาพทั้งทางด้านบุคลากร และเทคโนโลยี มีบริการของธนาคารครบในทุกภูมิภาคในระยะเวลา 5-10 ปีข้างหน้า
“สิ่งสุดท้ายที่บริษัทมุ่งหวังดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ คือ การสอนให้ประชาชนต้องรู้จักการออม โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ออมให้เติบโตทันอัตราเงินเฟ้อ การออมระยะยาว 10-30 ปี สำหรับการเกษียณ จะเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เพราะความเสี่ยงโดยเฉลี่ยจะลดลงเมื่อลงทุนเป็นระยะเวลาที่นานมากขึ้น แต่มีผลตอบแทนเฉลี่ยถึงร้อยละ 12 โดยเมย์แบงก์ กิมเอ็ง มีส่วนในการสร้างสภาพคล่องให้ตลาดหลักทรัพย์มีความแข็งแกร่ง มีมูลค่าหลักทรัพย์รวมสูงเป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาค นอกจากนี้ บทบาทด้านวาณิชธนกิจจะมุ่งสนับสนุนกิจการที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ และกลุ่มยังมีการทำกิจกรรมดีๆ เพื่อสังคม ปลูกฝังหลักธรรมาภิบาลที่ดีในทุกประเทศที่เราดำเนินกิจการอยู่ รวมทั้งการช่วยเหลือทางการศึกษาแก่ผู้ด้อยโอกาสอย่างต่อเนื่อง กลุ่มเมย์แบงก์ มีเป้าหมายว่า เมื่อเราทำธุรกิจมีผลตอบแทนดี เราก็ต้องคืนสู่สังคมเช่นเดียวกัน”