“ทิสโก้” ประเมินเงินทุนต่างชาติไหลออกต่อเนื่อง 1-2 สัปดาห์ คาดเกิดจากนโยบายทรัมป์ จะเน้นกระตุ้น ศก.สหรัฐฯ ซึ่งนับตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค.จนถึงวันที่ 23 พ.ย. นักลงทุนต่างชาติได้ขายหุ้นไทยไปแล้วรวมประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และมีสิ่งบ่งชี้ว่านักลงทุนต่างชาติอาจมีโอกาสขายหุ้นไทยได้อีกราว 6 หมื่นล้านบาท
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ กลุ่มทิสโก้ กล่าวว่า หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไปอย่างพลิกล็อกเมื่อวันที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมา พบว่า เงินทุนต่างชาติก็ไหลออกจากหุ้นตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายของนายทรัมป์ ที่เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ผ่านการลดภาษี และเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว และจุดชนวนให้เกิดเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่
"นับตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค.จนถึงวันที่ 23 พ.ย. นักลงทุนต่างชาติได้ขายหุ้นไทยไปแล้วรวมประมาณ 5 หมื่นล้านบาท เราประเมินแนวโน้มเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้ โดยเปรียบเทียบกับการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติใน 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงไตรมาส 4 ปี 2015 ที่เฟด ประกาศขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. และเหตุการณ์ Taper Tantrum ในปี 2013 โดยในกรณีแรกในช่วงไตรมาส 4 ปี 2015 นักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นไทยรวม 6.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งมากกว่าการขายในรอบนี้อยู่อีกราว 1.5 หมื่นล้านบาท และหากประเมินจากยอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติเฉลี่ยรายวันในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประมาณวันละ 2 พันล้านบาท เราคาดว่าจะมีแรงเทขายในลักษณะนี้อีกราว 8 วันทำการ หรืออีก 1-2 สัปดาห์หลังจากนี้"
นายคมศร กล่าวว่า ส่วนในกรณี Taper Tantrum ซึ่งเริ่มต้นโดยนาย Ben Bernanke ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในขณะนั้น ได้กล่าวถึงการทยอยลดการเข้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งทำให้เกิดเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่อย่างรุนแรง เหตุการณ์ดังกล่าวกินระยะเวลา 4 เดือน (ตั้งแต่เดือน พ.ค.ถึง ก.ย.56) และมีเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทยเป็นจำนวน 1.1 แสนล้านบาท ซึ่งหากเทียบกับกรณีนี้ก็อาจชี้ว่า นักลงทุนต่างชาติอาจมีโอกาสขายหุ้นไทยได้อีกราว 6 หมื่นล้านบาท หรืออีก 1-2 เดือนนับจากนี้ ซึ่งมองว่าจะเป็นกรณีเลวร้ายที่สุด
สำหรับ Fund Flow ที่ไหลออกส่วนใหญ่นั้น ได้ไหลกลับไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งมีเงินทุนไหลเข้ากว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 2 สัปดาห์หลังเลือกตั้ง เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากนโยบายของนายทรัมป์ เช่น การลดภาษี และแผนการใช้จ่ายภาครัฐฯ ที่จะช่วยกระตุ้นผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สหรัฐฯ ให้กลับมาเติบโตได้เกิน 3% ในปีหน้า ส่วนด้านนโยบายภาษี โดยประเมินว่า สภาคองเกรสจะอนุมัติให้ลดอัตราภาษีนิติบุคคลลงเหลือ 25% จาก 35% ในปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 8% โดยประมาณ จึงแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพื่อรับกระแส Fund Flow ดังกล่าว