อาซีฟา คาดธุรกิจโตต่อเนื่อง แม้อัตราเติบโตทางธุรกิจสิ้นปีปิดไม่ตามเป้าที่ตั้งไว้ 15% เหตุรับรู้งานในมือล่าช้า ขณะไตรมาส 3 เติบโตต่อเนื่องจากปี 58 เตรียมรับรู้งานในมือไตรมาส 4 อีก 700-800 ล้านบาท และรอการส่งมอบงานปี 60 ประมาณ 1.8 พันล้านบาท ระบุ 2 ปีข้างหน้าเตรียมขยายธุรกิจไป CLMV
นายไพบูลย์ อังคณานุกรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาซีฟา จำกัด (มหาชน) หรือ ASEFA กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจปี 59 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง และมีเป้าหมายการขยายธุรกิจ และเพิ่มอัตราการการเติบโตของยอดขายอยู่ที่ 15% แม้รอบ 9 เดือนที่ผ่านมา การเติบโตยอดขายโดยรวมอาจจะต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย คือ อยู่ที่ราว 10% แต่ถือว่ายังเป็นที่ที่น่าพอใจ และมองว่าแนวโน้มการทำธุรกิจปีนี้ยังดีกว่าปีที่ผ่านมา โดยคาดหมายว่า ปีนี้ ASEFA จะยังเติบโตเกิน 10% เนื่องจากบริษัทฯ จะได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ ของรัฐ และเอกชน
ขณะผลงานไตรมาส 3 ปีนี้ ASEFA มีกำไรสุทธิ 75.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เคยมีกำไรสุทธิ 69.4 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 10.7% จากปี 58 เนื่องจากการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุนการผลิต และควบคุมค่าใช้จ่าย ส่วนรายได้จากยอดขายและบริการรวมจะมีมูลค่าทั้งสิ้น 706.99 ล้านบาท หรือลดลง 8.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่เคยมีรายได้รวม 770.34 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการชะลอการส่งมอบของโครงการใหญ่บางโครงการ ส่วนการขายวัสดุจากโครงการรื้อถอนโรงไฟฟ้ายังต้องรอจังหวะราคาตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น
ขณะงวด 9 เดือนปีนี้ บริษัทมีรายได้จากยอดขายและบริการรวมจะอยู่ที่ 2,021.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% เมื่อเทียบจากปีก่อนที่เคยปิดที่ 1,887.4 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 200.8 ล้านบาท จากงวดเกียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 140.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจาก 7.4% เป็น 9.9% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และย้ำว่าอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้น่าจะดีกว่าปีก่อน โดยจะอยู่ที่ 24% ส่วนอัตรากำไรสุทธิตลอดปี 59 จะอยู่ที่ 10%
นายไพบูลย์ ยังกล่าวถึงมูลค่างานในมือ (Backlog) เมื่อต้นปี 59 บริษัทฯ มี Backlog รวมทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท โดยยอดรวมดังกล่าวนั้น ASEFA จะสามารถรับรู้รายได้เพิ่มเติมอีก 700-800 ล้านบาท เมื่อสิ้นไตรมาส 4 ปีนี้ และยังมี Backlog เพิ่มเติมที่ยังคงอยู่ระหว่างรอส่งมอบโครงการอีก 1,800 ล้านบาท โดยส่วนนี้ ASEFA จะสามารถรับรู้รายได้ทั้งจำนวนในปี 60 และอีก 2 ปีข้างหน้า บริษัทฯ ยังที่จะเตรียมขยายธุรกิจไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV)