บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) โชว์กำไรไตรมาส 3 เติบโต 100% และมีรายได้รวม 797 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ผลดีจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ได้รับผลดีจากวอลุ่มเทรดพุ่งบวกกับกำไรจากการลงทุน และธุรกิจตราสารอนุพันธ์สร้างกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คาดผลประกอบการช่วงไตรมาส 4 ดีต่อเนื่องหลังคาดการณ์วอลุ่มเทรดยังคึกคัก ผู้บริหารเผยเน้นการกระจายสัดส่วนรายได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ด้านการลงทุน เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนบวกกับคุมต้นทุน
นายจื้อ-หง หลิน กรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีผลประกอบการงวดไตรมาส 3/2559 มีรายได้รวมอยู่ที่ 797 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 612.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.11 ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 233 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปี 2558 ที่มีกำไร 115 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 100 ส่วนงวด 9 เดือนแรกของปี 2559 บริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 2,263.96 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,859.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.76 ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 651 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 412 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 58
ทั้งนี้ รายได้ที่เพิ่มขึ้นสัดส่วนหลักมาจากรายได้ค่านายหน้า 311 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 237 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรจากเงินลงทุน และตราสารอนุพันธ์ จำนวน 232 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 164 ล้านบาท ทั้งนี้ โดยภาพรวมบริษัทฯ มีผลกำไรจากการดำเนินงานที่ดี กำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 3/2559 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2558 เนื่องจากการเติบโตของมูลค่าการซื้อขายของตลาดรวม รวมทั้งส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน KGI ได้ดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับการลงทุนในรูปแบบที่หลากหลาย ส่งผลทำให้ผลประกอบการ รวมทั้งเครื่องมือทางการเงินมีประสิทธิภาพ ซึ่งบริษัทฯ ให้ความสำคัญต่อการให้บริการที่มีคุณภาพ และคงไว้ซึ่งการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
“ช่วงไตรมาส 3/2559 ผลประกอบการออกมาดีมาก เนื่องจากตลาดหุ้นอยู่ในภาวะผันผวนส่งให้นักลงทุนมีการลงทุนในรูปแบบที่หลากหลายทั้งตราสารทุน ตราสารอนุพันธ์ ประกอบกับ KGI ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อรองรับการลงทุนของลูกค้า รวมทั้งการพัฒนาเครื่องมือต่างๆ สำหรับการลงทุนทำให้ผลประกอบการออกมาดีมากทั้งรายได้ และกำไร โดยกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 100% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ คาดว่าในช่วงที่เหลือของปีตลาดหุ้นยังมีความผันผวนจากปัจจัยในต่างประเทศ และปัจจัยในประเทศที่ยังคงมีความไม่แน่นอน” นายจื้อ-หง หลิน กล่าว
