“บิ๊กหนู” แนะรัฐควรให้การสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างที่เป็นของคนไทย เพื่อกระจายรายได้ สร้างงาน และกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ชี้บริษัทไทยมีศักยภาพสูง ไม่ต้องจ้างต่างชาติให้สูญเสียรายได้ เปรยหากซิโน-ไทย แพ้บริษัทคู่แข่ง ควรเลิกกิจการไปขายเต้าฮวยดีกว่า
นายอนุทิน ชาญวีรกูล ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น หรือ STEC กล่าวว่า การเข้าซื้อหุ้นของ บมจ.ไทยโซล่าร์เอ็นเนอร์ยี่ หรือ TSE จำนวน 181.5 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 4.85 บาท มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาท/หุ้น ซึ่งการเข้าไปลงทุนในครั้งนี้เป็นการกระจายความเสี่ยง และเป็นการแสวงหาการลงทุนในรูปแบบใหม่ๆ นอกเหนือจากที่บริษัทฯ ได้ดำเนินกิจการอยู่ โดยเป็นการแสวงหารายได้อย่างยั่งยืน และแน่นอน ตราบใดที่ยังมีฐานลูกค้า และต้นทุนที่ยังสามารถควบคุมได้
ขณะที่ส่วนธุรกิจการก่อสร้างนั้นยังถือว่าดีอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่กำลังพัฒนา มีการพัฒนาเรื่องระบบสาธารณูปโภคการขนส่งเพื่อให้เกิดศักยภาพในการแข่งขันกับทั่วโลกได้ อย่างไรก็ดี ขณะนี้ถือว่าเป็นยุคทองของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของไทย ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดในมุมมองของตนเองนั้น มองว่าอยากให้การดำเนินงานต่างๆ เป็นไปตามนโยบาย และงบประมาณที่รัฐบาลกำหนดไว้ และถ้าจะดียิ่งขึ้น ถ้ารัฐบาลพยายามผลักดันให้เศรษฐกิจทั้งประเทศปรับตัวดีขึ้น โดยให้การสนับสนุนผู้ประกอบการ และกลุ่มธุรกิจที่เป็นกลุ่มของคนไทยให้มีโอกาสได้งานได้มากที่สุด
“ทุกวันนี้เราไม่ต้องพึ่งต่างชาติแล้ว การที่จะใช้ของต่างชาติ เทคโนโลยีต่างๆ จะเป็นในรูปของการซื้อโครงการมากกว่า ไม่ใช่การก่อสร้าง ซึ่งไทยสามารถทำเองได้ ซึ่งในภาคส่วนของการก่อสร้างนั้น น่าจะให้คนไทยได้มีส่วนร่วมมากที่สุด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ เป็นส่วนงานที่ควรสงวนไว้ให้กับผู้ประกอบการชาวไทยเท่านั้น ไม่ใช่ไปเชื้อเชิญชาวต่างชาติมา เพราะการก่อสร้างไม่ใช่โรงงานอุตสาหกรรม เขาเอาเงินเข้ามาเขาผลิต เขาขาย เขาอยู่กันเป็น 10 ปี แต่การก่อสร้างเค้าเข้ามาสร้างเสร็จหนึ่งโครงการแล้ว เขาก็ไปกำไรก็ออกนอกประเทศไป ที่สำคัญ เขาอาจจะซื้อของจากประเทศของเขาด้วย ทั้งที่ในปัจจุบันนั้น การก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ก่อสร้างตึกอาคารต่างๆ ทุกอย่างสามารถหาได้ในประเทศไทยแทบทั้งสิ้น”
อย่างไรก็ดี ตนเองยังคงมีความเชื่อมันเศรษฐกิจในประเทศไทย หากรัฐบาลซึ่งทำดีอยู่แล้วในเรื่องของการผลักดันโครงการต่างๆ ให้ออกมาสู่การประมูล โดยที่ควบคุมการประมูลให้เกิดความยุติธรรม และมั่นใจว่า ไม่ได้ไปเลือกที่รักมักที่ชัง หรือเอื้อประโยชน์ให้แก่ใครเป็นพิเศษ เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างแน่นอน โดยในปีหนึ่งๆ มีการเติบโตอย่างน้อยๆ 6-7 แสนล้านบาท และยังมีที่ซ่อนอยู่อีกกว่า 2-3 ล้านล้านบาท ซึ่งหากใช้สินค้า และแรงงานที่อยู่ภายในประเทศจะสามารถเป็นตัวผลักดันที่สำคัญทำให้เศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างยั่งยืน และโดดเด่นแน่นอน
ทั้งนี้ คนส่วนใหญ่ที่มีรายได้น้อย และพึ่งพาระบบเกษตรกรรมเป็นหลัก และการช่วยเหลือจากภาครัฐอาจจะยังปรับตัวไม่ทัน เพราะฉะนั้น ถ้ามีการสร้างงานเหล่านี้ขึ้นมา และทำระบบทั้งหลายให้กลับเข้ามาสู่ภาวะปกติ เช่น ควบคุมการเพาะปลูกให้สมดุล ซึ่งจากโครงการภาครัฐที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้สะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวขึ้นมาอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/2559 ที่ผ่านมา เห็นได้ว่า รัฐบาลได้ผลักดันโครงการใหญ่ๆต่างๆ ออกมาสู่การประมูลมากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจในการเข้ามาลงทุน แม้ว่าในช่วงนี้สถานการณ์ในประเทศที่อยู่ในภาวะโศกเศร้า แต่เชื่อมั่นว่า ไม่นานประเทศไทยจะกลับมาเข้มแข็ง และแข็งแรงขึ้นอีกครั้ง
“ภาพรวมการแข่งขันในอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างประเทศไทยในขณะนี้มีการแข่งขันกันสูง โอกาสที่จะมีการฮั้วประมูลเกิดขึ้นนั้นเป็นไปได้ยาก เพราะมีผู้แข่งขันหลายราย ทุกคนก็อยากจะได้งาน ทุกคนก็อยากจะเติบโตออกไปยังนานาชาติ การที่มีการแข่งขันกันมากๆ จะทำให้เกิดประสิทธิภาพ ทุกคนก็พยายามที่จะหาทางลดต้นทุนเพื่อให้ได้งาน ซึ่งไม่ต้องแปลกใจ หากบริษัทซิโน-ไทย จะได้งาน เพราะบริษัทไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย ในขณะที่บริษัทอื่นๆ ซึ่งเป็นคู่แข่งยังต้องจ่ายดอกเบี้ยอยู่เป็นจำนวนนับพันล้านบาท แต่ขณะเดียวกัน ถ้าหากบริษัทซิโน-ไทยแพ้ เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจมากกว่า เพราะว่าขณะไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย มีความได้เปรียบมากกว่า แต่กลับไม่มีความสามารถในการแข่งขัน ก็คงต้องกลับไปขายเต้าฮวยแล้ว ไม่ควรจะต้องกลับมาทำก่อสร้างอีกต่อไปให้มันเกะกะอีก”