บล.ทรีนีตี้ ประเมินตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของเดือน ต.ค.นี้ ยังแกว่งตัวในกรอบ 1,440-1,500 จุด แนะกลยุทธ์ให้ซื้อขายตามกรอบ แนะเลือกหุ้นอุตสาหกรรมโดดเด่นเข้าพอร์ต อาทิ หุ้นในกลุ่มส่งออกรับอานิสงส์ค่าบาทอ่อน กลุ่มบริษัทที่มีงบไตรมาส 3/2559 โดดเด่น และกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีฐานรายได้แน่นอน และให้เงินปันผลในระดับสูง
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า มองการลงทุนสำหรับช่วงที่เหลือของเดือนตุลาคม 2559 คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ยังคงแกว่งตัวในกรอบ 1,440-1,500 จุด ซึ่งในเชิงกลยุทธ์แนะนำให้ซื้อขายตามกรอบดังกล่าว โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ แนวโน้มการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ภายหลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) มีความคิดเห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาอาจจำเป็นต้องใช้นโยบาย “เศรษฐกิจแรงกดดันสูง (High pressure economy)” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ดังนั้น มีโอกาสที่ Fed อาจบริหารนโยบายการเงินในเชิงรุก และอาจอนุโลมให้เศรษฐกิจมีความร้อนแรงในช่วงแรกของการฟื้นตัว ส่งผลให้ตลาดเริ่มปรับมุมมองคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคตเพิ่มมากขึ้น และทำให้ Bond yield สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นเกิดใหม่นั้นลดลง
ประเด็นถัดมา คือ การรายงานตัวเลขอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) ของจีนประจำไตรมาส 3/2559 ในวันพรุ่งนี้ (19 ต.ค.) ภายหลังจากที่ตัวเลขการส่งออกเดือนกันยายนที่ผ่านมา หดตัวไปถึง 10% นับว่าแย่กว่าที่ตลาดคาดอย่างมาก หากตัวเลข GDP ดังกล่าวออกมาต่ำกว่า 6.7% ซึ่งเป็นระดับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ จะส่งผลให้เกิดแรงเทขายเงินหยวน และสกุลเงินอื่นในเอเชียได้
ขณะที่กรณีการโต้วาทีรอบที่ 3 ระหว่างนางฮิลลารี คลินตัน (D) และนายโดนัลด์ ทรัมป์ (R) ที่ลาสเวกัส ในช่วงเช้าวันที่ 20 ตุลาคม ตามเวลาประเทศไทย มีประเด็นที่น่าติดตามหากการหาเสียงของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่สามารถดึงคะแนนความนิยมได้เพิ่มขึ้น มองโอกาสที่นางคลินตัน จะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน จะมีสูงขึ้นตามลำดับ ซึ่งถือเป็นผลดีต่อตลาดทุนทั่วโลก
นอกจากนั้น ยังต้องติดตามการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 20 ตุลาคม ว่าจะมีมติต่ออายุมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่กำลังจะหมดอายุลงในช่วงเดือนมีนาคมปี 2560 หรือไม่ ภายหลังจากที่มีข่าวลือมาก่อนหน้านี้ว่า ECB อาจมีการลดวงเงินโครงการดังกล่าวลงจากเดือนละ 80,000 ล้านยูโร และปัจจัยสุดท้ายแนะนำให้ติดตามการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันที่ 31 ตุลาคม-1 พฤศจิกายน โดยมองมีโอกาส 50-60% ที่ BOJ อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับติดลบมากขึ้นจากเดิมที่ -0.1%
นายณัฐชาต กล่าวว่า สำหรับกลุ่มหุ้นที่แนะนำให้เข้าสะสมหากดัชนีมีการปรับตัวลงมาที่บริเวณแนวรับ 1440 จุด ได้แก่ กลุ่มพลังงาน แนะนำ “ซื้อ” PTT, BANPU เนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะสามารถยืนในระดับสูงต่อไปได้จนกระทั่งการประชุมกลุ่มผู้ค้าน้ำมัน (OPEC) ในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ กลุ่มหุ้นส่งออกที่ได้รับอานิสงส์จากการอ่อนค่าของเงินบาท และมีระดับมูลค่าพื้นฐาน (Valuation) ที่น่าสนใจ ได้แก่ SVI, BR กลุ่มบริษัทที่มีรายได้จากธุรกิจภายนอกเป็นหลัก และคาดว่าจะรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2559 ที่โดดเด่น ได้แก่ GL, TTCL และกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีฐานรายได้แน่นอน และให้เงินปันผลในระดับสูง ได้แก่ GPSC