บล.โกลเบล็ก มองหุ้นไทยได้แรงบวกจากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นยืนเหนือ 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หลังรัสเซียพร้อมให้ความร่วมมือในการจำกัดเพดานการผลิตน้ำมัน รวมถึงผลสำรวจ Debate รอบ 2 ชี้ว่า นางฮิลลารี คลินตัน ชนะ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยคะแนน 57% ต่อ 34% แนะสะสมกลุ่มพลังงาน ได้อานิสงส์ราคาน้ำมันปรับตัว ด้านราคาทองคำเริ่มฟื้นตัวได้เล็กน้อย หลังปรับลงต่อเนื่องในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีแนวรับ 1,240-1,235 เหรียญสหรัฐต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,285-1,290 เหรียญสหรัฐต่อทรอยออนซ์
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นยืนเหนือ 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หลังรัสเซียพร้อมให้ความร่วมมือในการจำกัดเพดานการผลิตน้ำมัน และคาดการณ์กลุ่มโอเปก สามารถบรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตในการประชุม 30 พ.ย. ผลสำรวจของ CNN หลัง Debate รอบ 2 ชี้ว่า นางฮิลลารี คลินตัน ชนะ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยคะแนน 57% ต่อ 34% และ ก.ล.ต. มั่นใจ “ดอยซ์แบงก์” ไม่กระทบกองทุนรวม เนื่องจากมีธุรกรรมที่เกี่ยวข้องไม่ถึง 0.1% อีกทั้งไม่พบว่า ดอยซ์แบงก์ ออกสตรักเจอร์โน้ตในตลาดทุนไทย
ทั้งนี้ ยังคงมีความกังวลจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หลังตัวเลขการจ้างงาน และการว่างงานของสหรัฐฯ อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง ประกอบกับแนวโน้มเงินบาทอ่อนค่าลงล่าสุด 35.1 บาท/เหรียญสหรัฐ อาจกระทบต่อกระแส Fund Flow ต่างชาติ และรายงานข่าวที่ว่า จะมีกลุ่มก่อการร้ายเตรียมก่อเหตุวินาศกรรมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล รวม 3 จุด ช่วงวันที่ 25-30 ต.ค.
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ วันนี้-21 ต.ค. เป็นช่วงของการประกาศงบการเงินสิ้นสุดไตรมาส 3/2559 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งการ Preview งบไตรมาส 3/2559 ของบริษัทจดทะเบียนใน ตลท. และในวันที่ 13 ต.ค. สหรัฐฯ มีกำหนดเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ซึ่งสะท้อนภาพตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ที่เป็นปัจจัยประกอบการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ
ด้าน นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า แม้ตลาดหุ้นไทยจะมีปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้นยืนเหนือ 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล รวมถึงผลสำรวจการ Debate รอบ 2 ชี้ว่า นางฮิลลารี คลินตัน เป็นฝ่ายชนะ อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง รวมถึงกระแสความกังวลการก่อเหตุร้ายภายในประเทศเป็นแรงกดดันต่อ Fund Flow และภาพรวมการลงทุนของไทย
ดังนั้น ประเมินว่า SET จะแกว่งตัวผันผวน โดยมีกรอบเคลื่อนตัวที่ 1,440-1,480 จุด ทั้งนี้ ให้รอซื้อสะสมช่วงอ่อนตัวแบบ Selective Buy ได้แก่ กลุ่มส่งออก (อาหาร และอิเล็กทรอนิกส์) ได้อานิสงส์เงินบาทอ่อนค่า กลุ่มพลังงาน ได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเหนือ 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และ BANPU ได้อานิสงส์จากราคาถ่านหินขึ้นทำ High ในรอบ 2 ปี ล่าสุด 84 เหรียญสหรัฐ/ตัน หลังจีนเร่งแก้ปัญหาโอเวอร์ซัปพลาย
สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่า ราคาทองคำเริ่มฟื้นตัวได้เล็กน้อย หลังปรับลงต่อเนื่องในสัปดาห์ที่ผ่านมา จากความกังวลการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 156,000 ตำแหน่งในเดือน ก.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่งในเดือน ก.ย. แม้ว่าตัวเลขจะปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด แต่นักลงทุนมองว่า ตัวเลขจ้างงานไม่ได้ต่ำมากเกินไปจนทำให้เฟดชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ขณะที่ประธานเฟด สาขาคลีฟแลนด์ และนายสแตนลีย์ ฟิสเชอร์ รองประธานเฟด มองว่า ตัวเลขการจ้างงานที่ออกมาใกล้เคียงกับตัวเลขที่เฟดต้องการ โดย CME Group Fed Watch ระบุว่า นักลงทุนคาดว่า มีโอกาสมากกว่า 60% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค.
อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่จัดทำโดย CNN/ORC บ่งชี้ว่า นางฮิลลารี สามารถคว้าชัยชนะเหนือนายทรัมป์ ไปด้วยคะแนน 57% ต่อ 34% ในการโต้วาทีรอบที่ 2 ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ และหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น เป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำ อย่างไรก็ตาม ราคาทองก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้างจากแรงซื้อเก็งกำไร หลังจากราคาทองคำปรับลงแรงต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับแนวโน้มราคาทองคำโลกด้านเทคนิค ราคาปรับลงมาจบแนวลงรูปแบบ ROUNDING TOP พร้อมกับสร้างแท่งเทียนสัญญาณบวก SPINING BOTTOM ที่แกว่งตัวอยู่ในเขตลงแรงมากเกินไป พร้อมกับเริ่มฟื้นตัวยกจุดต่ำสูงขึ้น ประกอบกับค่าสัญญาณ RSI มีภาวะ OVER SOLD เป็นแรงหนุนเสริม ทำให้ราคามีโอกาสฟื้นตัวขึ้น แต่จะเป็นช่วงสั้นๆ เนื่องจากแนวต้านเส้น 5 และ 10 วันที่เรียงตัวเป็นแนวโน้มลง รวมถึงแนวโน้มลงหลักยังกดดันอยู่ โดยมีแนวรับ 1,240-1,235 เหรียญสหรัฐต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,285-1,290 เหรียญสหรัฐต่อทรอยออนซ์