xs
xsm
sm
md
lg

KTBST ชี้ปัญหาดอยช์แบงก์ ไม่ถึงขั้นล้มละลาย แนะจับตา Fed อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บล.KTBST ประเมิน ปัญหาดอยช์แบงก์ ไม่ถึงขั้นล้มละลาย เพราะจะมีผลรุนแรงกว่าปี 2008 แต่ทำให้ตลาดผันผวน แนะชะลอลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป พร้อมจับตาตัวเลขว่างงานสหรัฐฯ คืนนี้ อาจส่งผลให้ Fed ขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น

นายชาตรี โรจนอาภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (KTBST) เปิดเผยว่า จากกรณีที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เรียกร้องค่าปรับจากธนาคารดอยช์แบงก์ ซึ่งธนาคารอันดับหนึ่งของเยอรมนี เป็นจำนวน 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในฐานความผิดที่จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (RMBS) อันเป็นต้นเหตุให้วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ช่วงปี 2008 ซึ่งจากรายงานข่าวล่าสุด ได้มีการเจรจากันระหว่างกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ และทางดอยช์แบงก์ ซึ่งมีแนวโน้มว่า ดอยช์แบงก์ อาจจ่ายค่าปรับลดลงเหลือเพียง 5,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยที่ปัจจุบัน ดอยช์แบงก์ มีเงินทุนสำรองต่อสินทรัพย์เสี่ยงขั้นที่ 1 อยู่ที่ 12.2% ซึ่งหากจ่ายค่าปรับตามจำนวนดังกล่าว ดอยช์แบงก์ จะยังมีสัดส่วนเงินทุนสำรองต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงกว่าระดับมาตรฐานของ ECB ซึ่งอยู่ที่ 10.75% อย่างไรก็ดี จากการประเมินของ KTBST พบว่า หากดอยช์แบงก์ ต้องค่าปรับสูงกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป อาจทำให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงลดลงต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน และดอยช์แบงก์ อาจจะต้องทำการเพิ่มทุน

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ต้องจับตาดู คือ ยังมีอีกหลายกรณีที่มีการฟ้องร้องทางดอยช์แบงก์ ซึ่งต้องติดตามดูว่าจะส่งผลอย่างไร บล. KTBST มีมุมมองว่า ดอยช์แบงก์ เป็นธนาคารใหญ่อันหนึ่งของเยอรมนี และมีธุรกรรมกับธนาคารต่างๆ ทั่วโลกจำนวนมาก หน่วยงานกำกับดูแลนานาชาติที่เป็นคู่กรณีกับดอยช์แบงก์ ไม่น่าเรียกร้องค่าปรับจนทำให้ธนาคารมีปัญหาล้มละลาย หรือขาดสภาพคล่อง เพราะจะส่งผลกระทบรุนแรงไปสู่ตลาดการเงินทั่วโลก และอาจจะรุนแรงกว่าวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เมื่อปี 2008 ได้ นอกจากนี้ รัฐบาลเยอรมนียังได้เรียกร้องให้ธนาคารในเยอรมนีให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องให้แก่ดอยช์แบงก์ หากจำเป็น แต่เมื่อมีข่าวในด้านไม่ดีออกมา จึงมีผลกระทบต่อตลาดเท่านั้น ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนจากข่าวที่ออกมาได้ ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุน บล. KTBST จึงแนะนำชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปไปก่อน เพื่อรอดูความชัดเจนในเรื่องนี้

ขณะเดียวกัน Mario Draghi ประธานธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ได้ปฏิเสธข่าวที่ว่า ECB จะลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และได้ยืนยันว่า ECB จะดำเนินมาตรการ QE ต่อไปจนถึงกำหนดช่วงปลายเดือน มี.ค.ปีหน้า หรืออาจจะขยายเวลาออกไปหากพิจารณาเห็นว่าจำเป็น ขณะที่ตัวเลขยอดคำสั่งซื้อสินค้าจากโรงงานของเยอรมนี (Germany Factory Orders) ประจำเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 1% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 0.2% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน โดยยอดคำสั่งซื้อส่วนใหญ่ปรับเพิ่มขึ้นจากคำสั่งซื้อภายในประเทศ (2.6%) และกลุ่มประเทศยุโรป (4.1%) แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของประเทศเยอรมนี และระดับการบริโภคภายในประเทศ และกลุ่มประเทศยุโรปที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังต้องจับตามองถึงปัญหาของกลุ่มธนาคารอย่างใกล้ชิด

ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตามองตัวเลขอัตราการว่างงาน และการจ้างงานนอกภาคการเกษร (Nonfarm Payrolls) ของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในวันนี้ รวมถึงท่าทีของ Stanley Fischer ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการของ FOMC ที่จะให้สัมภาษณ์ว่าเป็นอย่างไร เนื่องจากตัวเลข และบทสัมภาษณ์ดังกล่าวอาจส่งผลต่อการปรับอัตราดอกเบี้ยของ Fed ได้เร็วขึ้น

“บล.KTBST แนะนำซื้อสะสมตลาดหุ้นจีนที่ได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินทุนเคลื่อนย้าย และทยอยขายทำกำไรตลาดหุ้นยุโรป จากปัญหาในกลุ่มธนาคารในยุโรป และน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นทดสอบระดับสูงสุดของปี สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ บล.KTBST ยังคงแนะนำให้สะสมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และโครงสร้างพื้นฐาน และหุ้นกู้เอกชนไทย”
กำลังโหลดความคิดเห็น