คลังจ่อรีดภาษีบ้านตามแนวรถไฟฟ้าเพิ่ม เผยอยู่ระหว่างให้ สศค.ศึกษาข้อมูล คาดสรุปได้ภายใน 1 เดือน ส่วนภาษีที่ดินใหม่คาด สนช.พิจารณาเสนอต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาภายใน ต.ค.นี้ ขณะที่ตลาดอสังหาฯ ส่งสัญญาณบวกหลังเอกชนแห่เปิดโครงการใหม่หวังกระต้นยอดขาย
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดงาน “มหากรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 35” ซึ่งจัดขึ้นโดย 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอาคารชุดไทย ว่าจากการที่รัฐบาลได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าที่เส้นทางใหม่ และส่วนต่อขยายซึ่งจะเริ่มทยอยสร้าง และเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้เกิดการขยายของเมืองออกไป ส่งผลให้เกิดการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มตามมา ทำให้รัฐบาลมีแนวคิดที่จะจัดเก็บภาษีที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าขึ้น โดยได้มอบหมายให้สำนักงานสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ศึกษาข้อมูลในรอบด้าน ซึ่งคาดว่าจะรู้ผลภายใน 1 เดือน
ส่วนพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะสามารถประกาศใช้ได้ในปี 2560 หรือไม่นั้น ไม่สามารถยืนยันได้ เนื่องจากเรื่องดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา และคาดว่าจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ภายในเดือนตุลาคมนี้ ส่วนจะทันใช้ในปี 60 หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ สนช.
“ผู้ประกอบการไม่ต้องตกใจกับ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพราะรัฐบาลต้องการสนับสนุนให้ประชาชนมีปัจจัยสี่ โดยเฉพาะเรื่องที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะประชาชนประมาณ 95-97% มีบ้านราคาไม่ถึง 50 ล้านบาท และส่วนใหญ่เป็นบ้านหลังแรก แต่การที่เราจะเก็บคนที่มีบ้านมากกว่า 50 ล้านบาท และมากกว่า 1 หลัง เพราะรัฐบาลต้องการลดความเหลื่อมล้ำไม่ได้หวังมุ่งเน้นรายได้” นายวิสุทธิ์ กล่าว
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งหลังปี 59 แม้ภาครัฐจะยังไม่มีมาตรการออกมากระตุ้นในช่วงเวลานี้ แต่ยังมีสัญญาณบวกจากภาคเอกชน ที่ผู้ประกอบการหลายแห่งเริ่มเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยกระตุ้นความต้องการของผู้ซื้อของผู้บริโภค ในส่วนของการคมนาคม รัฐบาลยังเดินหน้าเร่งสร้างรถไฟฟ้าทั้งในเส้นปัจจุบัน เส้นทางต่อขยาย และเส้นทางใหม่ นอกจากนี้ ยังได้มีการลงทุนในการสร้างถนนสายใหม่ๆ
ส่วนปัจจัยอื่นที่จะช่วยสนับสนุน และส่งเสริมให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยที่ยังไม่ปรับขึ้นมาก ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่จะมีการประกาศใช้ในปี 2560 แต่ในปัจจุบัน เกณฑ์การจัดเก็บยังมีอัตราที่ไม่สูงมาก นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่เป็นส่วนช่วยสร้างความมั่นใจจากนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายบายการเบิกจ่ายของภาครัฐในช่วงไตรมาส 4 ให้ไม่น้อยกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เพื่อรักษาระดับการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มเติบโตได้ในทิศทางที่ดีรวมไปถึงภาคการเกษตรที่เริ่มฟื้นตัว ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังปรับตัวดีขึ้น
สำหรับการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯคงรั้งที่ 35 ถือได้ว่าเป็นการจัดงานที่สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐ ที่จะช่วยฟื้นเศรษฐกิจของประเทศไทย และยังเป็นการให้คนไทยมีงานมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ทั้งนี้ เชื่อว่าโดยภาพรวมจะประสบความสำเร็จได้ ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า จากการที่ทั้งสามสมาคมหลักธุรกิจอสังหาฯ ร่วมกับภาคเอกชน ผู้ประกอบการ และสถาบันการเงิน ร่วมกันจัดงานในครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะให้ประชาชนได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของตัวเอง
ด้านนายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไตรมาส 3 จะเติบโตกว่าไตรมาส 2 ทั้งยอดขาย ยอดโอนกรรมสิทธิ์ และการเปิดโครงการใหม่ ส่วนในไตรมาส 4 จะมีการเติบโตหรือไม่นั้น ยังไม่มั่นใจ เนื่องจากกำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่กลับมา แม้ว่าจะมีการเปิดโครงการใหม่ช่วงปลายปีก็ตาม ประกอบกับยอดการปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารก็เพิ่มสูงขึ้น จากปีที่ผ่านมา มียอดปฏิเสธสินเชื่ออยู่ที่ 20% แต่ปีนี้ขยับมาอยู่ที่ 30% โดยผู้ประกอบการบางรายขยับสูงถึง 50% เกิดจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และลูกค้าติดเครดิตบูโร ซึ่งทางสมาคมฯ เตรียมหาทางแก้ไขปัญหา และจะทำหนังสือถึงทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภายในเดือนนี้
“ตอนนี้เราเห็นยอดปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น โดยแบงก์ก็ได้ใช้ข้อมูลจากเครดิตบูโรมาประกอบการปล่อยสินเชื่อ แต่หากดูไส้ในแล้วจะพบว่า ลูกค้าที่เคลียร์หนี้หมดแล้วยังมีชื่อติดอยู่ในบูโร 3 ปี ซึ่งไม่ยุติธรรม จึงอยากเสนอไปยัง ธปท.ให้ลดเหลือ 1 ปี เพื่อทำให้ธุรกิจอสังหาฯ กลับมาเติบโต เพราะคนในกลุ่มนี้ต้องการจะซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการหารือกับ ธปท.ไปแล้วเบื้องต้น ซึ่ง ธปท.ก็รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้น และอยู่ระหว่างการแก้ไข” นายอธิป กล่าว
ในส่วนของ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง คาดไม่กระทบต่อภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากภาครัฐต้องการลดความเหลื่อมล้ำ แต่ก็ยอมรับว่า จากการที่รัฐบาลมีแนวสร้างรถไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ราคาที่ดินปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ในส่วนของสมาคมฯ คาดว่า อาจมีการปรับราคาขายเพิ่มขึ้นตามราคาที่ดิน ถ้าหากผู้บริโภคพอใจกับราคา ก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่หากพบว่าผู้บริโภคไม่สามารถซื้อได้ ผู้ประกอบการพิจารณาปรับลดราคาขายลง