“ธนารักษ์” เซ็งผลตรวจสอบคุณสมบัติผู้ลงทะเบียนสิทธิของโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ เจอไม่ผ่านกว่าครึ่ง เตรียมยกเครื่องเงื่อนไขใหม่หลังเล็งเปิดเฟส 2 สิ้นปีนี้ พร้อมขึ้นค่าเช่าที่ราชพัสดุใหม่
นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมได้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เข้ามาลงทะเบียนในโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ ทั้ง 4 แปลงแล้วพบว่า มีผู้ผ่านเกณฑ์ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของผู้เข้ามาลงทะเบียนทั้งหมด 2.3 พันราย หรือสูงเกือบ 200% จากจำนวนยูนิตทั้ง 4 แปลง รวม 1.44 พันยูนิต เนื่องจากผู้เข้าลงทะเบียนจองสิทธิโครงการที่อำเภอหัวหิน และจังหวัดเพชรบุรี ทั้ง 2 แปลง ส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่ไม่ตรงตามเกณฑ์บ้านหลังแรก ส่วนอีก 2 แปลงใน กทม. ซึ่งเปิดให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐอยู่อาศัย ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
ทั้งนี้ กรมจะนำปัญหาดังกล่าวมาพิจารณาหลักเกณฑ์การจองสิทธิในโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ ระยะที่ 2 (เฟส 2) โดยคาดว่าจะใช้เงื่อนไขให้เป็นบุคคลที่ลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย ซึ่งตามหลักจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี มองว่าอาจจะตรงตามเป้าหมายของโครงการนี้มากกว่า แต่ก็ยังไม่ตัดเงื่อนไขต้องเป็นบ้านหลังแรกออกไปในการพิจารณาเงื่อนไขใหม่
สำหรับโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐเฟส 2 กรมได้สำรวจที่ดินราชพัสดุเพิ่มเติมที่จะมาดำเนินโครงการในปี 2560 จำนวน 4 แปลง ประกอบด้วย เลขทะเบียน กท.2918 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา จ.กรุงเทพฯ เนื้อที่ 2 ไร่, ปท.666 ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เนื้อที่ 7 ไร่, ฉช.679 ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา เนื้อที่ 44 ไร่ และ สฎ.520 ต.หัวเตย อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้เอกชนประมูลได้ช่วงสิ้นปีนี้
นายจักรกฤศฏิ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนที่ให้เอกชนเข้ามาประมูลพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนั้น ได้เสนอคณะกรรมการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ พิจารณาผู้ชนะการประมูลที่จังหวัดสระแก้ว โดยในส่วนที่เหลือ 2 แห่ง คือ จังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดหนองคาย จะมีการเปิดประมูลรอบใหม่ประมาณเดือน พ.ย.นี้
นอกจากนี้ จะมีการปรับปรุงอัตราค่าเช่าที่ราชพัสดุใหม่ จากเดิมจัดเก็บในอัตราที่ต่ำ โดยกรมธนารักษ์ได้ข้อสรุปจัดกลุ่มประเภทกำหนดอัตราผลตอบแทนที่ราชพัสดุใหม่ให้เหลือ 3 ประเภท คือ เพื่อที่อยู่อาศัย, เพื่อเกษตรกรรม, เพื่อพาณิชยกรรม คาดว่าจะประกาศใช้อัตราผลตอบแทนใหม่นี้ในเดือน ม.ค.2560 ซึ่งจะทำให้การจัดเก็บรายได้ของกรมเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าหมายในปี 2560 ไว้กว่า 1 หมื่นล้านบาท จากปีนี้คาดว่า ทั้งปีจะจัดเก็บได้ประมาณ 6.7 พันล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 5.95 พันล้านบาท
นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมได้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เข้ามาลงทะเบียนในโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ ทั้ง 4 แปลงแล้วพบว่า มีผู้ผ่านเกณฑ์ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของผู้เข้ามาลงทะเบียนทั้งหมด 2.3 พันราย หรือสูงเกือบ 200% จากจำนวนยูนิตทั้ง 4 แปลง รวม 1.44 พันยูนิต เนื่องจากผู้เข้าลงทะเบียนจองสิทธิโครงการที่อำเภอหัวหิน และจังหวัดเพชรบุรี ทั้ง 2 แปลง ส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่ไม่ตรงตามเกณฑ์บ้านหลังแรก ส่วนอีก 2 แปลงใน กทม. ซึ่งเปิดให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐอยู่อาศัย ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
ทั้งนี้ กรมจะนำปัญหาดังกล่าวมาพิจารณาหลักเกณฑ์การจองสิทธิในโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ ระยะที่ 2 (เฟส 2) โดยคาดว่าจะใช้เงื่อนไขให้เป็นบุคคลที่ลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย ซึ่งตามหลักจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี มองว่าอาจจะตรงตามเป้าหมายของโครงการนี้มากกว่า แต่ก็ยังไม่ตัดเงื่อนไขต้องเป็นบ้านหลังแรกออกไปในการพิจารณาเงื่อนไขใหม่
สำหรับโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐเฟส 2 กรมได้สำรวจที่ดินราชพัสดุเพิ่มเติมที่จะมาดำเนินโครงการในปี 2560 จำนวน 4 แปลง ประกอบด้วย เลขทะเบียน กท.2918 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา จ.กรุงเทพฯ เนื้อที่ 2 ไร่, ปท.666 ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เนื้อที่ 7 ไร่, ฉช.679 ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา เนื้อที่ 44 ไร่ และ สฎ.520 ต.หัวเตย อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้เอกชนประมูลได้ช่วงสิ้นปีนี้
นายจักรกฤศฏิ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนที่ให้เอกชนเข้ามาประมูลพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนั้น ได้เสนอคณะกรรมการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ พิจารณาผู้ชนะการประมูลที่จังหวัดสระแก้ว โดยในส่วนที่เหลือ 2 แห่ง คือ จังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดหนองคาย จะมีการเปิดประมูลรอบใหม่ประมาณเดือน พ.ย.นี้
นอกจากนี้ จะมีการปรับปรุงอัตราค่าเช่าที่ราชพัสดุใหม่ จากเดิมจัดเก็บในอัตราที่ต่ำ โดยกรมธนารักษ์ได้ข้อสรุปจัดกลุ่มประเภทกำหนดอัตราผลตอบแทนที่ราชพัสดุใหม่ให้เหลือ 3 ประเภท คือ เพื่อที่อยู่อาศัย, เพื่อเกษตรกรรม, เพื่อพาณิชยกรรม คาดว่าจะประกาศใช้อัตราผลตอบแทนใหม่นี้ในเดือน ม.ค.2560 ซึ่งจะทำให้การจัดเก็บรายได้ของกรมเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าหมายในปี 2560 ไว้กว่า 1 หมื่นล้านบาท จากปีนี้คาดว่า ทั้งปีจะจัดเก็บได้ประมาณ 6.7 พันล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 5.95 พันล้านบาท
