บอร์ด GYT ไฟเขียวลงทุนสร้างโรงงานผลิตยางเครื่องบินประเภทเรเดียลใน จ.ปทุมธานี วงเงิน 162 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5,633 ล้านบาท เพื่อเป็นฐานการผลิตในภูมิภาคเอเชีย
บมจ.กู๊ดเยียร์ (ประเทศไทย) หรือ GYT แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ (29 ส.ค.) อนุมัติโครงการลงทุนสร้างโรงงานผลิตยางเครื่องบินประเภทเรเดียล (Radial) บนพื้นที่โรงงานเดิมใน จ.ปทุมธานี โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 162 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 5,633 ล้านบาท เพื่อเป็นฐานการผลิตในภูมิภาคเอเชียให้กับกลุ่มบริษัทกู๊ดเยียร์ และเพื่อตอบสนองแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของตลาดยางเครื่องบินเรเดียล ซึ่งเปลี่ยนจากการใช้ยางผ้าใบ (Bias) มาเป็นยางเรเดียล
ทั้งนี้ บริษัทจะเข้าทำรายการที่เกี่ยวโยงกับบริษัท เดอะ กู๊ดเยียร์ ไทร์ แอนด์ รับเบอร์ คอมปะนี ประเทศสหรัฐอเมริกา (กู๊ดเยียร์ อเมริกา) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GYT และบริษัท กู๊ดเยียร์ ออเรียนท์ คอมปะนี จำกัด (กู๊ดเยียร์ สิงคโปร์) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นทั้งหมดโดยกู๊ดเยียร์ อเมริกา โดยการดำเนินการตามโครงการลงทุน บริษัทจะต้องเข้าทำธุรกรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการลงทุนที่จะได้ทำกับกู๊ดเยียร์ อเมริกา และกู๊ดเยียร์ สิงคโปร์
สำหรับการลงทุนแบ่งออกเป็น 3 ระยะ รวมเป็นระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 10 ปี โดยระยะที่ 1 จะก่อสร้างในช่วงปี 59-61 และดำเนินการผลิตในปี 61 ใช้เงินลงทุน 1,625 ล้านบาท ระยะที่ 2 จะก่อสร้างในช่วงปี 61-65 และดำเนินการผลิตในปี 63 ใช้เงินลงทุน 2,975 ล้านบาท ระยะที่ 3 จะก่อสร้างในช่วงปี 66-68 และดำเนินการผลิตในปี 66 ใช้เงินลงทุน 1,033 ล้านบาท
การลงทุนระยะที่ 1 จะเริ่มดำเนินการก่อนเพื่อให้บริษัท สามารถประเมินว่ากำลังการผลิตและกำไรเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ ซึ่งบริษัทจะประเมินการเริ่มลงทุนก่อสร้างระยะที่ 2 และ 3 ตามปัจจัยในเรื่องของประสิทธิภาพของโครงการลงทุนในระยะก่อนหน้า, ความเหมาะสมของแต่ละระยะของโครงการลงทุน และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
นอกเหนือจากการผลิตยางเครื่องบินประเภทผ้าใบแล้ว GYT จะเริ่มการผลิตยางเครื่องบินเรดียล โดยยางเครื่องบินเรเดียล มีน้ำหนักเบากว่า และสามารถรองรับการลงจอดของเครื่องบินได้มากกว่ายางผ้าใบ นอกจากนี้ เครื่องบินพาณิชย์รุ่นใหม่ๆ จะติดตั้งยางเครื่องบินเรเดียล เป็นมาตรฐานของรุ่นอีกด้วย โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย คือ สายการบินพาณิชย์ ทั้งในและต่างประเทศ
ส่วนรายละเอียดของรายการเกี่ยวโยงนั้น บริษัทจะเข้าทำรายการกับกู๊ดเยียร์ อเมริกา และกู๊ดเยียร์ สิงคโปร์ แบ่งออกเป็นระยะการก่อสร้างโรงงาน และระยะดำเนินการผลิต โดยระยะก่อสร้างโรงงาน 1.ความช่วยเหลือในการก่อสร้างด้านวิศวกรรม และด้านอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับวิศวกรรม มูลค่าที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้น สำหรับค่าใช้จ่ายในช่วงการก่อสร้างทั้ง 3 ระยะ รวมประมาณ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ 2.การก่อสร้างอาคาร การซื้อเครื่องจักร และอุปกรณ์ มูลค่าที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นสำหรับรายจ่ายการลงทุนทั้งหมดที่ชำระให้กับกู๊ดเยียร์ อเมริกา ประมาณ 88 ล้านเหรียญสหรัฐ
ระยะดำเนินการผลิต 1.การเข้าทำสัญญาซื้อขายยางเครื่องบินเรเดียล มูลค่าที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้น ประมาณ 1,146 ล้านเหรียญสหรัฐ ตั้งแต่ปี 61-84 คาดว่าจะเป็นการส่งออกยางเครื่องบินเรเดียลที่ผลิตได้โดยการจำหน่ายให้กับกู๊ดเยียร์ สิงคโปร์ เพื่อไปทำตลาดในต่างประเทศ 2.การซื้อขายวัตถุดิบยางสังเคราะห์ มูลค่าที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้น ประมาณ 33 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงปี 61-84 ที่บริษัทจะทำการซื้อยางสังเคราะห์ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตยางเครื่องบินเรเดียลจากกู๊ดเยียร์ อเมริกา
3.การใช้เครื่องหมายทางการค้า และเทคโนโลยี มูลค่าที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้น ประมาณ 46 ล้านเหรียญสหรัฐ ตั้งแต่ปี 61-84 และ 4.การให้บริการจัดซื้อยางธรรมชาติ มูลค่าที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้น ประมาณ 4 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งกู๊ดเยียร์ สิงคโปร์ ให้บริการจัดซื้อยางพาราธรรมชาติให้กับบริษัท
ด้านแหล่งเงินลงทุนที่จะใช้ในโครงการลงทุนฯ จะมาจากเงินสดที่มีอยู่ในปัจจุบัน, เงินสดจากการดำเนินงาน และเงินกู้จากสถาบันการเงิน ขณะที่การลงทุนใหม่ คาดว่าจะได้รับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ที่ระดับ 9.7% และยังเป็นการสร้างธุรกิจใหม่ให้กับบริษัทในระยะยาว เพื่อเป็นการชดเชยยอดขายยางเครื่องบินผ้าใบที่คาดว่าจะตกต่ำลงในอนาคต จากแนวโน้มที่ยางผ้าใบจะถูกทดแทนโดยยางเรเดียล ซึ่งมีความทนทาน และน้ำหนักเบากว่า