บล.เออีซี มองแนวโน้มดัชนีเดือนกันยายน คาดแกว่งตัวในกรอบ 1,500-1,590 จุด จับตานโยบายการเงินโลกสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แนะลงทุนหุ้นราคาไม่แพง มีปัจจัยรองรับ ชูกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง รับอานิสงส์รัฐเปิดประมูลงานมูลค่า 1.58 แสนล้านบาท ในไตรมาส 4/2559 เลือก CK-UNIQ-SYNTEC-STEC-PYLON และกลุ่มการท่องเที่ยวอย่าง BA-AAV- AOT
นายเกรียงไกร ทำนุทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS เปิดเผยถึงกลยุทธ์การลงทุนเดือนกันยายนว่า บริษัทประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET มีโอกาสปรับตัวขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,500-1,590 จุด โดยมองว่าเป็นจังหวะสำคัญในการประเมินผลตอบแทนการลงทุน ก่อนที่ตลาดหุ้นโลกจะเข้าสู่ช่วงการลงทุนรอบใหม่
ทั้งนี้ หากประเมินทิศทางการเคลื่อนไหวของ SET ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี จะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสปรับตัวได้สูง และมีปัจจัยสนับสนุนแรง แทนการเลือกหุ้นที่เป็น Cheap Valuation, High Dividend แต่ Low Beta การขึ้นของ SET รอบนี้จะมีหุ้น High Beta ที่ปรับตัวได้แรง และความกลัวทีเพิ่มขึ้นไปพร้อมๆ กัน เป็นตลาดที่กลยุทธ์ Trading Strategy จะมีความน่าสนใจกว่า Buy and Hold
ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เออีซี กล่าวเพิ่มว่า ปัจจัยนโยบายการเงินโลกสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งเล็งเห็นประเด็นสำคัญในตลาดการเงินโลก คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Fund Rate 1 ครั้ง แตกต่างจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบต่อเนื่อง ผลกระทบไม่ได้มีนัยสำคัญ และนโยบายการเงินของประเทศอื่นๆ มีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้น จับตาทิศทางนโยบายการเงินของ BoJ, ECB, BoE ที่มีโอกาส Surprise ในทางบวก ตลาดหุ้น Emerging Market รวมถึง SET ยังเป็น Destination ที่สำคัญของโลก
ดังนั้น บริษัทฯ แนะนำให้เลือกลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ พร้อมกับเลือกบริษัทที่มีความแข็งแรงของ Business Model โดยกลุ่มแรกเลือกลงทุนกลุ่มที่มีรับประโยชน์จากการประมูลภาครัฐฯ 1.58 แสนล้านบาท ที่กำลังจะเข้ามาในช่วงไตรมาส 4/2559 เช่น โครงการรถไฟฟ้า 3 สาย, 1 รถไฟรางคู่ และโครงการที่เข้ามาเพิ่ม East West Corridor ถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาด โดยกลุ่มรับเหมาฯ ก่อสร้างเป็นอุตสาหกรรมที่มีการปรับเพิ่ม ผลการดำเนินงานปี 2560 เพิ่ม 42% ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา เป็นกลุ่มที่ยังต้องเลือกเป็นอันดับ 1 ของทีมกลยุทธ์ เลือก CK, UNIQ, SYNTEC, STEC, PYLON เป็น Top Strategic Call
กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของราคาสินค้าเกษตรฟื้นตัว ส่งผลบวกต่อบริษัทในกลุ่มอาหาร กลุ่มพาณิชย์ โดยเลือกหุ้น BR, GFPT, CBG ต่อเนื่องจากเดือนสิงหาคม รวมทั้งกลุ่มการท่องเที่ยวมองว่า ยังคงเป็นจุดแข็งหลักของเศรษฐกิจไทย ยังคงเลือก BA, AAV, AOT เป็น Top Pick และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน ERW, MINT และกลุ่มสุดท้าย คือ กลุ่มเกี่ยวกับตัวเลขเศรษฐกิจไทย ที่ยังไม่ใช่จุดแข็งของประเทศไทยตอนนี้ คือ FDI, BOI