นายกฯ กำชับภาคเอกชนเสียภาษีให้ครบถ้วน หากหลีกเลี่ยงเจอเก็บย้อนหลัง 5 ปีแน่ ขณะที่ รมว.คลังย้ำนโยบาย E-Payment และพร้อมเพย์ ต้องเดินหน้าต่อ ชี้การแฮกเกอร์ข้อมูลธนาคารออมสิน โดยมองว่าถือเป็นการปล้น หรือโจรกรรมแบบสมัยใหม่ ไม่ต่างจากการปล้นธนาคารแบบใช้อาวุธ โดยสถาบันการเงินทุกแห่งต้องหาแนวทางป้องกัน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ครั้งที่ 3 ประจำปีงบประมาณ 2559 จำนวน 88 รางวัล จากส่วนราชการทั้งหมด 224 หน่วยงาน ผ่านการประเมินใน 5 มิติ ได้แก่ ด้านการจัดซื้อจัดจ้าง ด้านการเบิกจ่าย ด้านการบัญชี ด้านการตรวจสอบภายใน ด้านความรับผิดทางละเมิด นายกรัฐมนตรียอมรับว่า รางวัลเหล่านี้นับเป็นเกียติแก่หน่วยงานราชการ แต่ต้องการตั้งรางวัลพิเศษสำหรับผู้ได้รับรางวัลเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นแบบอย่างแก่องค์กรอื่น ด้วยการขอให้จัดกลุ่มรางวัลใหม่ เพื่อให้องค์กรต่างๆ พัฒนาเหมือนกับองค์กรที่ได้รับรางวัลทุกปี
นายกรัฐมนตรีต้องการให้จัดกลุ่มงานให้ชัดเจนรองรับการปฏิรูปประเทศ ผ่านการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อไม่ให้องค์กรถอยหลัง เพื่อจัดสรรงบประมาณลงไปเพียงบางพื้นที่ไม่ได้รับการจัดสรรให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลกำหนดไว้ เพื่อการสร้างความเข้มแข็งการเงินการคลัง และย้ำว่า รางวัลด้านความรับผิดทางละเมิด ต้องการให้ทุกหน่วยงานดูแลคดีที่เกิดขึ้นในองค์กรให้ดี เพราะรัฐบาลไม่ได้รังแกฝ่ายใด และย้ำชัดเจนว่า ในปี 2559 หากจ่ายภาษีไม่ครบ หรือเจตนาหลีกเลี่ยง ต้องถูกตรวจสอบย้อนหลัง 5 ปี เพราะสงสารประเทศ เนื่องจากรายได้ภาษีไม่ได้เพิ่มขึ้นขณะนี้ ยอมรับว่ารายได้ภาษีที่เพิ่มขึ้น มาจากการปรับเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี รัฐบาลไม่ได้เร่งรัดรีดเก็บภาษีจากคนยากจน หรือรายได้น้อย จึงขอให้เดินหน้าจัดเก็บภาษีจากฐานภาษีเดิมไม่ให้เกิดการรั่วไหล
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กรณีนายกรัฐมนตรีมีนโยบายให้ตรวจสอบภาษีย้อนหลัง จะเน้นกับผู้มีเจตนาหลีกเลี่ยง หรือกระทำความผิด เพราะหากเอกชนรายใดมุ่งหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม จะทำให้คนไม่ดีมีต้นทุนต่ำกว่ารายอื่นร้อยละ 7 และหาโอกาสตัดราคารายอื่นจนทำให้ตลาดปั่นป่วน โดยที่ผ่านมา รัฐบาลได้ออกมาตรการลงทะเบียนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทำบัญชีรายเล่มเดียว จากนั้น กรมสรรพากรจะไม่ตรวจสอบการเสียภาษีย้อนหลัง 5 ปี จากความผิดครั้งที่ผ่านมา แต่หากยังมุ่งกระทำความผิดเพิ่มเติมอีก ต้องทำการตรวจสอบย้อนหลังด้วยเช่นกัน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลได้เดินหน้านโยบาย E-Payment เพื่อให้ประชาชนลงทะเทียนพร้อมเพย์ ผ่านสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อต้องการพัฒนาระบบบริการทางการเงินให้ก้าวหน้า แม้แต่สิงคโปร์ยังเริ่มนำระบบการใช้บัตรประชาชน หมายเลขโทรศัพท์มือถือ มาเชื่อมโยงบริการทางการเงินเหมือนกับไทย จึงยืนยันว่าการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงินต้องเดินหน้าพัฒนาให้ทันกระแสโลก แม้จะมีการแฮกเกอร์ข้อมูลธนาคารออมสิน โดยมองว่าเป็นการปล้น หรือโจรกรรมแบบสมัยใหม่ ไม่ต่างจากการปล้นธนาคารแบบใช้อาวุธ โดยสถาบันการเงินทุกแห่งต้องหาแนวทางป้องกัน
“ขณะนี้ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสถาบันการเงินต่างมุ่งดูแลระบบ และแนวทางป้องกัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชน ดังนั้น การโจรกรรมที่เกิดขึ้นกับธนาคารออมสินเป็นเพียงเหตุการณ์เดียว นโยบายพร้อมเพย์ และนโยบาย E-Payment ต้องเดินหน้าต่อไป ยอมรับว่ากรณี ธปท. มีแนวทางให้สถาบันการเงินนำระบบสแกนลายนิ้วมือ แสกนม่านตา เป็นระบบรักษาความปลอดภัย และสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า จึงควรนำมาพัฒนาใช้ให้มีความสะดวกเพิ่มขึ้น” นายอภิศักดิ์ กล่าว