โลหะกิจ เม็ททอล คาดกำไรงวด 59/60 ดีขึ้นหลังปรับประสิทธิภาพการผลิต และเพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้า พร้อมตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 3.2 พันล้านบาท ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เพิ่มจากปีก่อน พร้อมอัดงบลงทุนไว้เกือบ 60 ล้านบาท เน้นปรับคุณภาพการผลิต
นายอนันต์ มนัสชินอภิสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท โลหะกิจ เม็ททอล จำกัด (มหาชน) หรือ LHK เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดว่ากำไรในงวดปี 59/60 จะมากกว่างวดปี 58/59 ที่ทำได้ 97.7 ล้านบาท จากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า ทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และก่อสร้าง เป็นต้น ซึ่งยังเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในการเพิ่มปริมาณการขาย รวมถึงการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
ทั้งนี้ ตั้งเป้ารายได้งวดปี 59/60 จะเติบโตราว 5% จากปี 58/59 ที่มีรายได้ 3.2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ปีนี้มีการตั้งเป้าหมายยอดผลิตรถยนต์ในประเทศไว้ที่ 2 ล้านคัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 58 ที่มียอดผลิต 1.9 ล้านคัน แบ่งเป็นการผลิตเพื่อการส่งออก 1.22 ล้านคัน และการผลิตเพื่อขายในประเทศ จำนวน 7.8 แสนคัน และอุตสาหกรรมก่อสร้างที่มองว่า ในช่วงครึ่งปีหลังนี้น่าจะได้รับผลดีจากการลงทุนของภาครัฐ โดยเฉพาะในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่น่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นความต้องการในภาคอสังหาริมทรัพย์ และการก่อสร้าง และน่าจะส่งผลทำให้บริษัทฯ มียอดขายเพิ่มขึ้น ขณะที่อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง ตามความต้องการในประเทศที่ขยายตัวดีขึ้น
“เรายังคงรักษาระดับการทำกำไรได้ดี คาดอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้น่าจะมีการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก และรายได้น่าจะเติบโตราว 5% ซึ่งสัดส่วนรายได้ของเรายังคงมาจากอุตสาหกรรมยานยนต์ 33% เครื่องใช้ไฟฟ้า 20% ก่อสร้าง 25% และที่เหลือเป็นค้าส่ง โดยเรามีแผนที่จะลดการขายผ่านค้าส่งลง เนื่องจากมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำ เพื่อรักษาระดับการทำกำไรไว้ และจะไปเพิ่มวอลุ่มขายในส่วนอื่นแทน” นายอนันต์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนปีนี้ไว้ราว 50-60 ล้านบาท เพื่อใช้ซื้อเครื่องจักรใหม่ และปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพื่อที่จะได้ต้นทุนในการผลิตที่ดีขึ้น ขณะเดียวกัน อยู่ระหว่างพิจารณาเพื่อลงทุนเครื่องรีดท่อ ในกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้าง คาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตโดยรวมมากขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 75%
นายอนันต์ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงมองหาการเข้าซื้อกิจการ และการเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจที่จะเข้ามาต่อยอดกับธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายการเติบโตของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ มีฐานะทางการเงินที่เข้มแข็ง จากอัตราส่วนสภาพคล่องเพิ่มสูงระดับ 2.62 เท่า และมีหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ในระดับต่ำอยู่ที่ 0.42 เท่า หากมีความชัดเจนดังกล่าวก็มีความพร้อมในการลงทุนทันที
นายอนันต์ มนัสชินอภิสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท โลหะกิจ เม็ททอล จำกัด (มหาชน) หรือ LHK เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดว่ากำไรในงวดปี 59/60 จะมากกว่างวดปี 58/59 ที่ทำได้ 97.7 ล้านบาท จากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า ทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และก่อสร้าง เป็นต้น ซึ่งยังเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในการเพิ่มปริมาณการขาย รวมถึงการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
ทั้งนี้ ตั้งเป้ารายได้งวดปี 59/60 จะเติบโตราว 5% จากปี 58/59 ที่มีรายได้ 3.2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ปีนี้มีการตั้งเป้าหมายยอดผลิตรถยนต์ในประเทศไว้ที่ 2 ล้านคัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 58 ที่มียอดผลิต 1.9 ล้านคัน แบ่งเป็นการผลิตเพื่อการส่งออก 1.22 ล้านคัน และการผลิตเพื่อขายในประเทศ จำนวน 7.8 แสนคัน และอุตสาหกรรมก่อสร้างที่มองว่า ในช่วงครึ่งปีหลังนี้น่าจะได้รับผลดีจากการลงทุนของภาครัฐ โดยเฉพาะในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่น่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นความต้องการในภาคอสังหาริมทรัพย์ และการก่อสร้าง และน่าจะส่งผลทำให้บริษัทฯ มียอดขายเพิ่มขึ้น ขณะที่อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง ตามความต้องการในประเทศที่ขยายตัวดีขึ้น
“เรายังคงรักษาระดับการทำกำไรได้ดี คาดอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้น่าจะมีการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก และรายได้น่าจะเติบโตราว 5% ซึ่งสัดส่วนรายได้ของเรายังคงมาจากอุตสาหกรรมยานยนต์ 33% เครื่องใช้ไฟฟ้า 20% ก่อสร้าง 25% และที่เหลือเป็นค้าส่ง โดยเรามีแผนที่จะลดการขายผ่านค้าส่งลง เนื่องจากมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำ เพื่อรักษาระดับการทำกำไรไว้ และจะไปเพิ่มวอลุ่มขายในส่วนอื่นแทน” นายอนันต์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนปีนี้ไว้ราว 50-60 ล้านบาท เพื่อใช้ซื้อเครื่องจักรใหม่ และปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพื่อที่จะได้ต้นทุนในการผลิตที่ดีขึ้น ขณะเดียวกัน อยู่ระหว่างพิจารณาเพื่อลงทุนเครื่องรีดท่อ ในกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้าง คาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตโดยรวมมากขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 75%
นายอนันต์ กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงมองหาการเข้าซื้อกิจการ และการเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจที่จะเข้ามาต่อยอดกับธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายการเติบโตของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ มีฐานะทางการเงินที่เข้มแข็ง จากอัตราส่วนสภาพคล่องเพิ่มสูงระดับ 2.62 เท่า และมีหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ในระดับต่ำอยู่ที่ 0.42 เท่า หากมีความชัดเจนดังกล่าวก็มีความพร้อมในการลงทุนทันที