“สิงห์ เอสเตท” เผยไตรมาส 2 รายได้รวมโต 30% ชี้ธุรกิจอสังหาฯ เพื่อการค้าเติบโตของรายได้สูง รับอานิสงส์เข้าซื้อ และโอนกิจการตึกซันทาวเวอร์สฯ และรายได้อื่นๆ 167 ล้านบาท ส่วนรายได้ธุรกิจที่พักอาศัย เพิ่มขึ้น 65% ตามผลการดำเนินงานของบริษัทเนอวานาฯ
บริษัท สิงห์ เอสเตท จากัด (มหาชน) “S” ได้รายงานถึงผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 ปี 2559 โดยมีรายได้รวมเติบโตขึ้น 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้ามีอัตราการเติบโตของรายได้สูงที่สุด อันเป็นผลจากการรับโอนกิจการทั้งหมดของอาคารสำนักงานซันทาวเวอร์ส (ซันทาวเวอร์สฯ) เมื่อเดือนสิงหาคม 2558
ธุรกิจโรงแรม มีผลการดำเนินงานดีขึ้นเช่นกัน โดยมีรายได้เพิ่มขึ้น 41% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของโรงแรมสันติบุรี บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา (“โรงแรมสันติบุรีฯ”) และรายได้จากห้องพักใหม่ของโรงแรมพีพี ไอแลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท (“โรงแรมพีพี วิลเลจฯ”)
ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย มีรายได้ลดลง 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากบริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จากัด (“เนอวานาฯ”) ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้น 51% มีรายได้ต่ำกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากในไตรมาสที่ 2 ปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้จากการปิดการขายโครงการแม็กซ์วิลล์ (บ้านเดี่ยว) และโครงการอินโทร (คอนโดมิเนียม)
ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2559 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 62 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากไตรมาส 2 ปี 2558 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 94 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากซันทาวเวอร์สฯ และรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับการดำเนินงาน 167 ล้านบาทในไตรมาสนี้ และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ผลกระทบตามฤดูกาลของธุรกิจโรงแรมส่งผลให้รายได้รวมลดลง 6%
ขณะที่รายได้จากธุรกิจที่พักอาศัย เพิ่มขึ้น 65% จากไตรมาสที่ผ่านมา ตามผลการดำเนินงานของเนอวานาฯ ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ กำไรสุทธิลดลง 38% จากไตรมาสก่อน อันเป็นผลจากกำไรของธุรกิจโรงแรมที่ปรับตัวลดลงในช่วง Low season
ด้านโครงสร้างเงินลงทุนภายใต้แผนธุรกิจ ซึ่งให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจผ่านการเข้าซื้อกิจการ แหล่งเงินทุนหลักในระยะแรกของบริษัทฯ จึงประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นวงเงินสินเชื่อประเภทหมุนเวียนไม่มีหลักประกัน (Bridging Loans) เพื่อการเบิกใช้ในการซื้อที่ดิน และ/หรือการซื้อกิจการ ซึ่งภาระหนี้ในวงเงินดังกล่าวจะถูกแปลงสภาพ (Refinance) หรือชาระคืน ด้วยเงินกู้ยืมระยะยาวภายหลังการซื้อกิจการแล้วเสร็จ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2559 บริษัทฯ มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายเท่ากับ 9,080 ล้านบาท ลดลงจาก ณ สิ้นปี 2558 โดยมีสาเหตุหลักจากการชำระเงินกู้ระยะสั้น ตามที่เรียนข้างต้น ทั้งนี้ อัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 0.49 เท่า ลดลงจาก ณ สิ้นปี 2558