xs
xsm
sm
md
lg

เผยสัญญาณลงทุนมีแนวโน้มดีขึ้น “เอกชน-ต่างชาติ” กลับมามีความเชื่อมั่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


รองนายกฯ ด้าน ศก. มองสัญญาณลงทุนมีแนวโน้มดีขึ้น หลังต่างชาติโล่งใจร่าง รธน.ผ่านประชามติฯ ยอมรับการลงทุนภาคเอกชนอั้นมานานเหลือเกิน ในขณะที่ Engine ตัวอื่นๆ เคลื่อนไปข้างหน้าแล้ว ดังนั้น จึงถึงเวลาที่เครื่องยนต์ตัวนี้จะขับเคลื่อนเสียที

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เชื่อว่า หลังประชามติผ่านความเห็นจากประชาชน จะเป็นสัญญาณที่ดีที่เอื้อต่อการตัดสินใจลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา ต่างประเทศอาจยังไม่เชื่อมั่นในการเมืองไทย แต่เมื่อประชามติผ่าน มีโรดแมปที่นำไปสู่การเลือกตั้งที่ชัดเจน น่าจะทำให้ต่างชาติโล่งใจ และมีความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งฝ่ายเศรษฐกิจจะเดินหน้าทำงานในโครงการต่างๆ ที่เคยประกาศไว้อย่างเต็มที่ในช่วงระยะเวลาที่เหลือประมาณอีก 1 ปีข้างหน้า

“ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่า การลงทุนที่อั้นมานานเหลือเกิน ในขณะที่ Engine ตัวอื่นๆ เคลื่อนไปข้างหน้าแล้ว แต่ตัวนี้มันไม่ยอมเคลื่อนสักที มันก็จะได้มีโอกาสเคลื่อนซะบ้าง”

นายสมคิด ระบุว่า สิ่งสำคัญ คือ ทุกคนต้องมีความเชื่อมั่นในเมืองไทย เพราะยังมองเห็นศักยภาพที่ดี แม้ที่ผ่านมา การเมืองอาจจะสร้างความสับสน แต่ตอนนี้ถือว่าเมฆหมอกได้ผ่านไปแล้ว จากนี้ต่อไป จึงอยากให้ทุกฝ่ายร่วมกันทำงานหนัก และก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นคงด้วยกัน

นายสมคิด กล่าวว่า ในวันที่ 10 ส.ค. จะไปร่วมรับฟังนโยบายของ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) และมีการเชิญรัฐวิสาหกิจอื่นๆ มาร่วมหารือ เพื่อเร่งรัดในเรื่องการเบิกจ่ายใช้จ่ายในช่วงไตรมาส 3 ในเร็วขึ้น เพื่อให้ทันต่อการทำสัญญา

ด้าน นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมช.พาณิชย์ เชื่อว่า หลังจากประชามติผ่านความเห็นชอบ จะส่งผลดีให้การขับเคลื่อนงานด้านเศรษฐกิจเป็นไปในทิศทางที่ดี เพราะถือเป็นเสียงของประชาชนที่จะกำหนดเป็นกติกาของประเทศต่อไป ซึ่งย่อมส่งผลให้เห็นสัญญาณที่เป็นบวก ต่างชาติน่าจะยอมรับไทยมากขึ้น

ส่วนการเปลี่ยนแปลงหลังจากนี้จะไปสู่กระบวนการเลือกตั้ง ซึ่งจะมีความชัดเจนในเรื่องทั้งการเมือง และเศรษฐกิจ โดยในด้านเศรษฐกิจจะส่งผลให้เห็นความเชื่อมั่นทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ซึ่งในระยะสั้นจะเห็นสัญญาณที่ดีในตลาดทุน ส่วนระยะยาวก็จะมีแนวโน้มที่เป็นบวก และส่งผลต่อการตัดสินใจในการลงทุนได้มากขึ้น

ทั้งนี้ ในภาพรวม เชื่อว่าจะส่งผลให้ GDP ในระยะปานกลาง และระยะสั้น หรือในช่วง 6 เดือนถึง 1 ปี น่าจะดีขึ้น แม้ GDP ในระยะสั้นอาจจะยังไม่เห็นผลในทันที แต่เชื่อว่าการลงทุนจะปรับตัวดีขึ้น ในช่วง 3-6 เดือนหลังจากนี้ รวมถึงจะมีส่วนช่วยทำให้การจับจ่ายของประชาชน รวมถึงการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในระยะเวลาที่เหลืออีก 1 ปี เชื่อว่าทุกกระทรวงจะเดินหน้างานตามที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายไว้ ทั้งแผนยุทธศาสตร์ของแต่ละกระทรวงในกรอบเวลา 20 ปี และกรอบการทำงานในช่วงระยะเวลา 1 ปีข้างหน้า และเชื่อว่าหลังจากนี้ทุกฝ่ายจะช่วยกันรักษาบรรยากาศการฟื้นตัวทางด้านเศรษฐกิจให้ดียิ่งขึ้น และวางรากฐานในระยะยาวตามแนวทางไทยแลนด์ 4.0
กำลังโหลดความคิดเห็น