“เจแอลแอล” ระบุครึ่งปีแรก มูลค่าการลงทุนซื้อขายโรงแรมในภูมิภาคเอเชียพุ่งสูงถึง 1.33 แสนล้านบาท ญี่ปุ่นนำโด่ง 73,500 ล้านบาท ส่วนประเทศไทย มูลค่าซื้อขายเกือบ 5,000 ล้านบาท
รายงานจากบริษัทบริการ และที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล (โจนส์ แลง ลาซาลล์) ได้เปิดเผยรายงานฉบับล่าสุด เกี่ยวกับมูลค่าการลงทุนซื้อขายโรงแรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกว่า ในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวเพิ่มขึ้น 13.2% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 133,000 ล้านบาท ผลตอบแทนการลงทุนที่ฟื้นตัวขึ้นถึงระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก ดึงดูดให้นักลงทุนกลับมาลงทุนในตลาดโรงแรมมากขึ้น ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรก มีการซื้อขายโรงแรมเกิดขึ้น 59 รายการ ใน 11 ประเทศ คิดเป็นจำนวนห้องพักรวมทั้งสิ้น 14,025 ห้อง เพิ่มขึ้นจาก 10,976 ห้องที่มีการซื้อขายในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
โดยประเทศญี่ปุ่นเป็นตลาดโรงแรมที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดในภูมิภาค ด้วยมูลค่า 73,500 ล้านบาท ตามมาด้วยออสเตรเลีย 9,730 ล้านบาท จีนแผ่นดินใหญ่ 8,841 ล้านบาท เวียดนาม 8,316 ล้านบาท ไต้หวัน 7,616 ล้านบาท และไทย 4,840 ล้านบาท
โดยรวม ผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากประเทศภายในภูมิภาค โดย 80% ของการซื้อที่มีมูลค่าสูงกว่า 175 ล้านบาท มีนักลงทุนจากเอเชียแปซิฟิกเป็นผู้ซื้อ
ส่วนการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงสุด 10 รายการแรกในภูมิภาค มีมูลค่ารวมกันเกือบ 59,500 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการซื้อขายในญี่ปุ่น 5 รายการ
การซื้อขายโรงแรมที่มีมูลค่าสูงสุด 10 รายการแรกในภูมิภาคในช่วงครึ่งแรกปี 2559 (*เฉพาะส่วนของโรงแรม ไม่รวมมูลค่าการซื้อขายส่วนที่เป็นศูนย์การค้า) ได้แก่ 1.Grand Pacific Le Daiba (ญี่ปุ่น) 21,164 ล้านบาท 2.Grand Hi Lai Hotel Koahsiung (ไต้หวัน) 6,653 ล้านบาท* 3.Loisir Hotel Spa Tower Naha (ญี่ปุ่น) 6,160 ล้านบาท 4.Urawa Royal Pines Hotel (ญี่ปุ่น) 5,586 ล้านบาท 5.Westin Resort Guam Tumon (กวม) 4,375 ล้านบาท
6.Somerset Zhong Guan Cun Beijing (จีน) 3,237 ล้านบาท 7.The Mosaic Collection Grand Pujian Residence Shanghai (จีน) 3,024 ล้านบาท 8.Hotel Route Inn Gotanda Tokyo (ญี่ปุ่น) ไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยมูลค่า 9.InterContinental Asiana Saigon Ho Chi Minh City (เวียดนาม) 2,621 ล้านบาท* และ 10.Hotel Sunroute Shinagawa Seaside Tokyo (ญี่ปุ่น) ไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยมูลค่า
นายไมค์ แบทเชเลอร์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายตัวแทนซื้อขายภาคพื้นเอเชีย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า “ยังมีทุนอีกจำนวนมากที่กำลังหาซื้อโรงแรมที่มีคุณภาพเหมาะสำหรับการลงทุน สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มีแนวโน้มว่าการลงทุนซื้อขายจะคึกคักต่อเนื่อง โดยญี่ปุ่นจะยังคงเป็นตลาดที่มีมูลค่าการลงทุนซื้อขายสูงสุด ส่วนประเทศอื่นๆ ที่มีแนวโน้มมีมูลค่าการลงทุนซื้อขายปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ ไทย เวียดนาม เกาหลีใต้ และเมียนมา”
“การตัดสินใจของอังกฤษที่จะถอนตัวออกจากอียู ทำให้ค่าเงินปอนด์อ่อนลง ซึ่งอาจส่งผลให้นักท่องจากอังกฤษมีจำนวนลดลง อย่างไรก็ดี ชาวจีนยังคงเป็นหนึ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักที่ขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวของภูมิภาคนี้” นายแบทเชเลอร์ กล่าว