ราคาทองคำในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 15 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือคิดเป็น 1.12% ปิดที่ระดับ 1,322 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยมีปัจจัยกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาสดใส จากรายงานตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านที่ปรับเพิ่มขึ้นในเดือน มิ.ย. + รายงานตัวเลขยอดค้าปลีกปรับเพิ่มขึ้นในเดือน มิ.ย. รวมถึงดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นของสหรัฐฯ ในเดือ นก.ค.ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค.2558
ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น รวมถึงรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ เช่น บริษัทไมโครซอฟท์ อิงค์, มอร์แกน สแตนลีย์ ขณะที่มีรายงานว่ารัฐบาลญี่ปุ่นกำลังเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินอย่างน้อย 20 ล้านล้านเยน (1.88 แสนล้านดอลลาร์) ซึ่งทำให้นักลงทุนลดการลงทุนในตลาดทองคำ และมาลงทุนในตลาดหุ้นแทน
อย่างไรก็ตาม ระหว่างสัปดาห์ราคาฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้างหลังการประชุม ECB ในวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0% และคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 8 หมื่นล้านยูโร/เดือน แต่การฟื้นตัวก็เกิดขึ้นช่วงสั้นๆ ก่อนที่ราคาจะปรับตัวลงอีกครั้ง
สำหรับแนวโน้มราคาทองโลกด้านเทคนิค ราคาฟื้นตัวไม่ผ่านแนวต้านสัญญาณ Dead Cross + แนวลงรูปแบบ V-shape ที่กดดันอยู่ รวมถึงค่าสัญญาณทางเทคนิคที่ปรับลง ทำให้ราคามีแนวโน้มปรับตัวลงต่อตามแนวลงเดิม
สรุปแนวโน้มราคาทองคำมีโอกาสปรับลงต่อโดยมีแนวรับ 1,290/1,285 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อออนซ์ แนวต้าน 1,340/1,345ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์