ศาลนัดไต่สวนคำร้องพิจารณาคดีใหม่ “ไออีซี สระแก้ว 1” วันที่ 4 ตุลาคม 2559 และขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีโดยเร็วยิ่งขึ้นก่อน หลังพบนายสุทิน กับพวก ได้ปกปิดข้อมูลทางบัญชีโดยมิได้บันทึกบัญชีรายการเจ้าหนี้ “เคเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย)” ไว้ในงบการเงินของ SK1 ก่อนทำการซื้อขายหุ้น 75%
ดร.ภูษณ ปรีย์มาโนช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC แจ้งว่า บริษัท ไออีซี สระแก้ว 1 จำกัด (SK1) ซึ่งปัจจุบันเป็นบริษัทย่อย 100% ของบริษัทฯ ว่า บริษัทย่อยดังกล่าวได้ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลาย คดีหมายเลขดำที่ ล.3152/2557 คดีหมายเลขแดงที่ ล.1245/2559 ในคดีระหว่าง บริษัท เคเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (KS) เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ กับ บริษัท ไออีซี สระแก้ว 1 จำกัด ลูกหนี้
โดยศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดลูกหนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2559 เป็นต้นไป แต่เนื่องจาก SK1 ภายใต้การบริหารงานของบริษัทฯ นับตั้งแต่ที่บริษัทฯ เข้าไปซื้อหุ้น และรับโอนหุ้นมาจากกลุ่มของ นายสุทิน ใจธรรม (ซึ่งประกอบด้วย นายสุทิน ใจธรรม และ นางสาวจารุวรรณ ภูษณะภิบาลคุปต์) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 75% เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2557 จวบจนกระทั่งปัจจุบัน SK1 และบริษัทฯ ไม่เคยทราบ และไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลยว่า บริษัท แก้วลำดวนเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด (ชื่อเดิมของ SK1) ภายใต้การบริหารงานของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมดังกล่าวได้ถูก KS ฟ้องร้องเป็นคดีล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลาง เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2557 และศาลได้มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2559 ตามที่กล่าวข้างต้น เนื่องจากนายสุทิน กับพวก ได้ปกปิดข้อมูลทางบัญชีโดยมิได้บันทึกบัญชีรายการเจ้าหนี้บริษัท เคเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ไว้ในงบการเงินของ SK1 ณ ขณะที่บริษัทฯ ได้เข้าตรวจสอบข้อมูลสถานะของ SK1 ก่อนที่จะทำการซื้อขายหุ้น 75% ดังกล่าว
และต่อมายังปกปิดข้อมูลการถูกดำเนินคดีนี้ต่อ SK1 มาโดยตลอด โดยเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2558 นายสุทิน กับนางสาวจารุวรรณ ซึ่งต่างก็มีชื่อเป็นกรรมการคนหนึ่งในคณะกรรมการของ SK1 แต่บุคคลทั้งสองคนนี้ไม่มีอำนาจที่จะลงลายมือชื่อร่วมกันเพื่อให้มีผลผูกพัน SK1 ได้ตามกฎหมาย ได้ทำใบมอบอำนาจปลอมในนามบริษัท แก้วลำดวนเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด ซึ่ง ณ ขณะนั้นได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ไออีซี สระแก้ว 1 จำกัด แล้ว โดยไม่สุจริต และได้ใช้เอกสารอันเป็นเท็จ และใช้ตราประทับในชื่อของบริษัท แก้วลำดวน เพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด ซึ่งเป็นตราประทับในชื่อเดิมของ SK1 ที่ถูกยกเลิกไปแล้ว อันถือว่าเป็นตราประทับที่เป็นเท็จไปใช้กล่าวอ้างต่อศาลล้มละลายกลาง และจงใจปกปิดเอาไว้เพื่อประโยชน์ของตนเองแต่เพียงฝ่ายเดียว เพื่อการปกปิดความจริงในการเข้าสู่กระบวนพิจารณาคดีทางศาล จนเป็นเหตุให้ SK1 ได้รับความเสียหายจากการที่ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดดังกล่าวข้างต้น จนเมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2559 ทนายโจทก์ได้แจ้งมายัง SK1 ว่า SK1 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว
ซึ่งในเบื้องต้นฝ่ายจัดการของ SK1 ได้พยายามแสวงหาข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนก่อน จึงได้สอบถามไปยังนายสุทินว่าเป็นจริง แต่นายสุทินได้ปกปิดเรื่องเอาไว้ ฝ่ายจัดการของ SK1 จึงได้ติดต่อสอบถามไปยังทนายโจทก์อีกครั้งหนึ่ง และยังได้รับทราบข้อมูลจากทนายโจทก์เพิ่มเติมอีกว่า ภายหลังจากที่ศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด SK1 KS ก็ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดคืนมาจากนายสุทิน และนางสาวจารุวรรณ ครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว จึงทำให้ ณ ปัจจุบันนี้ SK1 ไม่มีหนี้ต่อ KS แล้ว ด้วยเหตุดังกล่าว SK1 จึงได้มอบหมายให้ทนายความเข้าทำการตรวจสอบสำนวนคดีต่อศาลล้มละลายกลางโดยฉับพลัน
โดยปรากฎว่าเป็นไปตามที่ศาลมีคำสั่งดังกล่าวว่า สำหรับข้อมูลในคดีนี้สืบเนื่องจาก SK1 ติดค้างชำระหนี้ค่าเครื่องจักร และอุปกรณ์ เป็นวงเงินประมาณ 3 ล้านบาทเศษ ตั้งแต่ในช่วก่อนที่นายสุทิน กับพวก จะนำหุ้นมาขายแก่บริษัทฯ จนถูกเจ้าหนี้รายดังกล่าวยื่นฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อศาลแพ่ง และศาลแพ่งได้พิพากษาให้ชดใช้แล้วก็ยังเพิกเฉย เจ้าหนี้รายนี้จึงนำคดีนี้มาฟ้องเป็นคดีล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลาง
ดังนั้น เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2559 ฝ่ายจัดการของ SK1 จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอให้พิจารณาคดีใหม่ และขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีดังกล่าว เนื่องจาก SK1 ยังประกอบกิจการผลิต และจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเป็นประจำอยู่ตามปกติ และมีฐานะทางการเงิน และสภาพคล่องทางการเงินที่ดี โดยมีมูลค่าของทรัพย์สินที่สูงกว่ามูลค่าของหนี้สินอยู่อย่างมาก SK1 จึงไม่สมควรที่จะถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแต่อย่างใด และเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ก็ได้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลาง เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2559 เช่นกันว่า เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ไม่คัดค้านคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของ SK1 เนื่องจาก เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ ศาลจึงมีคำสั่งให้นัดไต่สวนคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของ SK1 ในวันที่ 4 ตุลาคม 2559 เวลา 9.00 น. อย่างไรก็ตาม ฝ่ายจัดการของ SK1 ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อเรื่องดังกล่าว จึงได้เตรียมการที่จะร้องขอไต่สวนฉุกเฉินต่อศาลเพื่อขอให้ศาลพิจารณานัดไต่สวนคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ และขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีโดยเร็วยิ่งขึ้น ก่อนวันที่ 4 ตุลาคม 2559 ตามที่ศาลได้นัดไว้เดิม ทั้งนี้ ฝ่ายจัดการของ SK1 ได้พิจารณาแล้ว กรณีนี้ถ้าศาลล้มละลายกลางได้พิจารณาโดยเป็นธรรม และประกอบกับ SK1 ก็ไม่มีภาระหนี้สินใดๆ ค้างอยู่กับ KS อีกต่อไปแล้ว และปัจจุบัน SK1 ก็ยังดำเนินกิจการผลิตกระแสไฟฟ้าตามปกติ และก็มีฐานะทางการเงิน และสภาพคล่องทางการเงินที่ดี ฝ่ายจัดการของ SK1 จึงมีความเชื่อมั่นว่า ศาลล้มละลายกลางจะพิจารณาอนุญาตให้ไต่สวนฉุกเฉินให้แก่ SK1 และจะมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดต่อ SK1 ต่อไป
ดร.ภูษณ ปรีย์มาโนช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC แจ้งว่า บริษัท ไออีซี สระแก้ว 1 จำกัด (SK1) ซึ่งปัจจุบันเป็นบริษัทย่อย 100% ของบริษัทฯ ว่า บริษัทย่อยดังกล่าวได้ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลาย คดีหมายเลขดำที่ ล.3152/2557 คดีหมายเลขแดงที่ ล.1245/2559 ในคดีระหว่าง บริษัท เคเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (KS) เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ กับ บริษัท ไออีซี สระแก้ว 1 จำกัด ลูกหนี้
โดยศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดลูกหนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2559 เป็นต้นไป แต่เนื่องจาก SK1 ภายใต้การบริหารงานของบริษัทฯ นับตั้งแต่ที่บริษัทฯ เข้าไปซื้อหุ้น และรับโอนหุ้นมาจากกลุ่มของ นายสุทิน ใจธรรม (ซึ่งประกอบด้วย นายสุทิน ใจธรรม และ นางสาวจารุวรรณ ภูษณะภิบาลคุปต์) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 75% เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2557 จวบจนกระทั่งปัจจุบัน SK1 และบริษัทฯ ไม่เคยทราบ และไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลยว่า บริษัท แก้วลำดวนเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด (ชื่อเดิมของ SK1) ภายใต้การบริหารงานของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมดังกล่าวได้ถูก KS ฟ้องร้องเป็นคดีล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลาง เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2557 และศาลได้มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2559 ตามที่กล่าวข้างต้น เนื่องจากนายสุทิน กับพวก ได้ปกปิดข้อมูลทางบัญชีโดยมิได้บันทึกบัญชีรายการเจ้าหนี้บริษัท เคเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ไว้ในงบการเงินของ SK1 ณ ขณะที่บริษัทฯ ได้เข้าตรวจสอบข้อมูลสถานะของ SK1 ก่อนที่จะทำการซื้อขายหุ้น 75% ดังกล่าว
และต่อมายังปกปิดข้อมูลการถูกดำเนินคดีนี้ต่อ SK1 มาโดยตลอด โดยเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2558 นายสุทิน กับนางสาวจารุวรรณ ซึ่งต่างก็มีชื่อเป็นกรรมการคนหนึ่งในคณะกรรมการของ SK1 แต่บุคคลทั้งสองคนนี้ไม่มีอำนาจที่จะลงลายมือชื่อร่วมกันเพื่อให้มีผลผูกพัน SK1 ได้ตามกฎหมาย ได้ทำใบมอบอำนาจปลอมในนามบริษัท แก้วลำดวนเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด ซึ่ง ณ ขณะนั้นได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ไออีซี สระแก้ว 1 จำกัด แล้ว โดยไม่สุจริต และได้ใช้เอกสารอันเป็นเท็จ และใช้ตราประทับในชื่อของบริษัท แก้วลำดวน เพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด ซึ่งเป็นตราประทับในชื่อเดิมของ SK1 ที่ถูกยกเลิกไปแล้ว อันถือว่าเป็นตราประทับที่เป็นเท็จไปใช้กล่าวอ้างต่อศาลล้มละลายกลาง และจงใจปกปิดเอาไว้เพื่อประโยชน์ของตนเองแต่เพียงฝ่ายเดียว เพื่อการปกปิดความจริงในการเข้าสู่กระบวนพิจารณาคดีทางศาล จนเป็นเหตุให้ SK1 ได้รับความเสียหายจากการที่ถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดดังกล่าวข้างต้น จนเมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2559 ทนายโจทก์ได้แจ้งมายัง SK1 ว่า SK1 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว
ซึ่งในเบื้องต้นฝ่ายจัดการของ SK1 ได้พยายามแสวงหาข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนก่อน จึงได้สอบถามไปยังนายสุทินว่าเป็นจริง แต่นายสุทินได้ปกปิดเรื่องเอาไว้ ฝ่ายจัดการของ SK1 จึงได้ติดต่อสอบถามไปยังทนายโจทก์อีกครั้งหนึ่ง และยังได้รับทราบข้อมูลจากทนายโจทก์เพิ่มเติมอีกว่า ภายหลังจากที่ศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด SK1 KS ก็ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดคืนมาจากนายสุทิน และนางสาวจารุวรรณ ครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว จึงทำให้ ณ ปัจจุบันนี้ SK1 ไม่มีหนี้ต่อ KS แล้ว ด้วยเหตุดังกล่าว SK1 จึงได้มอบหมายให้ทนายความเข้าทำการตรวจสอบสำนวนคดีต่อศาลล้มละลายกลางโดยฉับพลัน
โดยปรากฎว่าเป็นไปตามที่ศาลมีคำสั่งดังกล่าวว่า สำหรับข้อมูลในคดีนี้สืบเนื่องจาก SK1 ติดค้างชำระหนี้ค่าเครื่องจักร และอุปกรณ์ เป็นวงเงินประมาณ 3 ล้านบาทเศษ ตั้งแต่ในช่วก่อนที่นายสุทิน กับพวก จะนำหุ้นมาขายแก่บริษัทฯ จนถูกเจ้าหนี้รายดังกล่าวยื่นฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อศาลแพ่ง และศาลแพ่งได้พิพากษาให้ชดใช้แล้วก็ยังเพิกเฉย เจ้าหนี้รายนี้จึงนำคดีนี้มาฟ้องเป็นคดีล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลาง
ดังนั้น เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2559 ฝ่ายจัดการของ SK1 จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอให้พิจารณาคดีใหม่ และขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีดังกล่าว เนื่องจาก SK1 ยังประกอบกิจการผลิต และจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเป็นประจำอยู่ตามปกติ และมีฐานะทางการเงิน และสภาพคล่องทางการเงินที่ดี โดยมีมูลค่าของทรัพย์สินที่สูงกว่ามูลค่าของหนี้สินอยู่อย่างมาก SK1 จึงไม่สมควรที่จะถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแต่อย่างใด และเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ก็ได้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลาง เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2559 เช่นกันว่า เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ไม่คัดค้านคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของ SK1 เนื่องจาก เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ ศาลจึงมีคำสั่งให้นัดไต่สวนคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของ SK1 ในวันที่ 4 ตุลาคม 2559 เวลา 9.00 น. อย่างไรก็ตาม ฝ่ายจัดการของ SK1 ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อเรื่องดังกล่าว จึงได้เตรียมการที่จะร้องขอไต่สวนฉุกเฉินต่อศาลเพื่อขอให้ศาลพิจารณานัดไต่สวนคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ และขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีโดยเร็วยิ่งขึ้น ก่อนวันที่ 4 ตุลาคม 2559 ตามที่ศาลได้นัดไว้เดิม ทั้งนี้ ฝ่ายจัดการของ SK1 ได้พิจารณาแล้ว กรณีนี้ถ้าศาลล้มละลายกลางได้พิจารณาโดยเป็นธรรม และประกอบกับ SK1 ก็ไม่มีภาระหนี้สินใดๆ ค้างอยู่กับ KS อีกต่อไปแล้ว และปัจจุบัน SK1 ก็ยังดำเนินกิจการผลิตกระแสไฟฟ้าตามปกติ และก็มีฐานะทางการเงิน และสภาพคล่องทางการเงินที่ดี ฝ่ายจัดการของ SK1 จึงมีความเชื่อมั่นว่า ศาลล้มละลายกลางจะพิจารณาอนุญาตให้ไต่สวนฉุกเฉินให้แก่ SK1 และจะมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดต่อ SK1 ต่อไป