ดร.อนุชิต อนุชิตานุกูล ประธานสายพัฒนาระบบงาน ช่องทางขายและผลิตภัณฑ์ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)“ดร.อู๊ด” ผ่านช่วงชีวิตที่ไม่ธรรมดามาตั้งแต่เด็ก “ทำอะไรแล้วจะบ้าทำอย่างจริงจัง” พิสูจน์ให้รู้ด้วยประสบการณ์ชีวิตจริง ชื่นชอบ “หอย” ศึกษาความเป็นมา และสะสมจนเต็มบ้าน เริ่มต้นวัยเรียนก็เป็นเลิศมาตลอด ลูกเป็นภูมิแพ้ หอบหืด ก็ศึกษาวิธีดูแลรักษาจนคณะแพทย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอข้อมูล บทความที่เขียนมาตีพิมพ์ เชิญไปบรรยายให้นักศึกษาแพทย์ฟัง เป็นด็อกเตอร์ที่โลว์โปรไฟล์แต่ไฮควอลิตี
ดร.อู๊ด เล่าให้ฟังในวัยเด็กที่ไม่ค่อยจะเติบโตตามวัยนัก เริ่มต้นของการเรียนก็สอบเทียบข้ามชั้นเรียนมาตั้งแต่เด็ก จนสามารถเข้ารั้วมหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุ 14 ปี เข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ยังเป็นเด็กชาย ซึ่งเป็นคณะที่โด่งดังจะเป็นที่นิยมของเด็กทั่วประเทศ รวมถึงคุณพ่อต้องการให้เรียนด้วย ถามว่าตามความชอบส่วนตัวของผมแล้ว ผมชอบเรียนด้านฟิสิกส์ ซึ่งคุณพ่อ และครอบครัวไม่เข้าใจว่าฟิสิกส์คืออะไร?
การเข้าเรียนวิศวกรรม ถึงแม้จะไม่ชอบนัก แต่ก็สามารถเรียนได้อย่างราบรื่น รวมทั้งยังเป็นพื้นฐานของการศึกษาต่อในระดับปริญญาโท และปริญญาเอกตามมาด้วย หลังจากศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีไม่กี่ปี ดร.อู๊ด ตั้งเป้าหมายที่จะศึกษาต่อที่ Stanford University ในสหรัฐอเมริกา เพราะมองว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ดี จึงได้เข้าไปสอบชิงทุนจากมูลนิธิการศึกษาไทย-อเมริกัน (ฟุลไบรท์) และสอบชิงทุนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ ) ซึ่งสอบผ่าน และได้ทุนทั้ง 2 แห่ง
ตามความฝันที่ต้องการจะเรียน Stanford University อยู่ตรงหน้าเพราะสามารถสอบชิงทุนได้ แต่ต้องล้มสลาย เพราะทุนจากฟุลไบรท์จะสนับสนุนการศึกษาเพียง 1 ปีเท่านั้น และด้วยข้อจำกัดด้านการเงินจากครอบครัว ทำให้ไม่อาจจะสนับสนุนการศึกษาในส่วนที่เหลือได้ทั้งหมด จึงต้องตัดสินใจเข้าหารือคุยเงื่อนไขกับธนาคารแห่งประเทศไทย ขอให้ ธปท.สนับสนุนทุนการศึกษาต่อจากฟุลไบรท์ ซึ่งกว่าจะตกลงกันได้ต้องใช้เวลาเจรจาระยะหนึ่ง
ตามความเป็นจริงอาจจะยาก เงื่อนไขแปลกจากเดิม และเป็นครั้งแรกของการให้ทุนร่วมกัน แต่ก็เกิดขึ้นจริงเมื่อฟุลไบรท์ พร้อมให้การสนับสนุนร่วมกับแบงก์ชาติ ทำให้ ดร.อู๊ด ก็สามารถเข้าศึกษาต่อใน Stanford University ตามความฝัน ด้วยความที่เป็นคนเก่ง ชีวิตไม่เคยธรรมดามาตั้งแต่เด็กๆ เรียนไปได้ไม่ถึงเดือน ความสามารถเริ่มโดดเด่นเหนือเพื่อน สามารถตอบโจทย์แก้ไขปัญหาในตำราเรียนได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้อาจารย์ที่สอนเรียกพบแล้วบอกว่า ไม่สามารถที่จะสอบอะไรได้อีก จึงขอให้ ดร.อู๊ด ทำหน้าที่ช่วยสอนหนังสือให้กับเพื่อนๆ ด้วย ดังนั้น จากในรั้ว Stanford University ที่เรียนมาจนสำเร็จ จบ ดร.ตั้งแต่อายุ 24 ปี ไม่เคยที่จะเสียเงินค่าเล่าเรียน แถมยังได้รับเงินจากการสอนอีกด้วย!!! ธรรมดาที่ไหนสำหรับผู้ชายคนนี้
หลังจากจบ ดร.เข้ามาทำงานที่แบงก์ชาติ 5 ปี ได้อยู่ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตการเงิน และมีส่วนรวมในการแก้ไขปัญหาเพิ่มทุนธนาคารกรุงไทย วงเงินกว่า 5 หมื่นล้านบาท จึงเชื่อมโยงให้ชีวิตของเขาผูกพันธ์กับธนาคารกรุงไทยไปนาน 8 ปี ซึ่งถือว่านานระดับหนึ่ง ความตั้งใจเดิมที่ออกจากแบงก์ชาติ ต้องการที่จะทำงานช่วยเหลือด้านมูลนิธิต่างๆ รวมถึงสนใจ และศึกษาเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมเป็นพิเศษ แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่จะต้องดูแลครอบครัว โดยเฉพาะลูกที่เป็นโรคภูมิแพ้ หอบหืด จึงจำเป็นที่จะต้องใช้เงินในการดูแลรักษา จึงได้เข้าทำงานที่ธนาคารต่อไป โดยตั้งใจจะเกษียนตอนอายุ 40-50 ปี
แต่ชีวิตก็ไม่เป็นอย่างที่หวัง หลังจากออกจกากรุงไทย ก็ได้รับคำร้องขอจาก บรรยง พงษ์พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ให้เข้ามาช่วยงานในธนาคารเกียรตินาคิน อีกครั้ง ทุกวันนี้ใช้ชีวิตประจำทุกวันนี้ทำอยู่ 4 อย่าง คือ 1.งานแบงก์ เป็นงานที่ทำเป็นอาชีพประจำ ในสายงานที่รับผิดชอบจะต้องมีการปรับปรุงพัฒนาอยู่ตลอดเวลา 2.ช่วยงานกระทรวงการคลัง ของรัฐมนตรีว่าการ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ เป็นงานที่ทำตามนโยบายเป็น Public service
3.งานที่เกี่ยวข้องกับธรรมะ โดยเริ่มจากตังเองก่อน ที่สนใจด้านคำสอนของพระพุทธศาสนา รวมถึงได้ปฏิบัติธรรมด้วย หลังจากนั้น เมื่อมีช่องทาง หรือโอกาสในการที่จะทำประโยชน์ หรือช่วยเหลือพุทธศาสนาก็เริ่มทำมาโดยตลอด ล่าสุด ได้เข้าไปช่วยงานของลุงทองดี หรรษคุณารมณ์ ประธานมูลนิธิ พระบรมธาตุ ในพระสังฆราชูปถัมป์ เตรียมที่จะสร้างเจดีย์ เพื่อจัดเก็บพระธาตุทั้งหมดของลุงทองดี เป็นสถานที่ที่ให้ประชาชนทั่วไปได้กราบไหว้บูชา
4.การดูแลครอบครัว พ่อ แม่ ภรรยา ลูก ดูแลให้เรียน ให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนดีมีคุณภาพ พ่อแม่ ตอนนี้ก็ต้องให้เวลา ผมจะเป็น Regular ว่าจะต้องโทรหาพ่อแม่ทุกวัน พยายามที่จะทานข้าวด้วยกันให้ได้บ่อยที่สุดเท่าที่มีโอกาส สัปดาห์หนึ่งหลายๆ ครั้ง
***แบ่งเวลาอย่างไร
ดร.อู๊ด เล่าให้ฟังติดตลกว่า เวลาของผมส่วนใหญ่อยู่ที่เลขา กับภรรยา โดยมากผมจะปฏิบัติตามคำสั่ง คือ เลขา กับภรรยา โดยเวลาทำงานปกติ เลขาจะเป็นผู้ที่ดูแลเรื่องเวลาให้ และที่เหลือจากการทำงานทั้งหมดจะเป็นเวลาของภรรยา โดยเฉพาะช่วงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ จะเป็นเวลาของแม่บ้านทั้งหมด ตอนนี้ลูกได้ไปเรียนอยู่ต่างประเทศ บางครั้งกลางคืนก็อาจจะต้องโทรศัพท์คุยกับลูกบ้าง ส่วนของพ่อแม่ก็ต้องโทรคุย ส่วนใหญ่จะเลือกเวลาปกติที่ช่วงไหนว่างช่วงไหนสะดวกมากกว่าที่จะจัดตารางฟิกไว้
ในช่วงที่ผ่านมา ตอนลูกยังเล็กมีโรคประจำตัวหอบหืด ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องให้เวลาดูแลลูกเป็นพิเศษ ผมใช้เวลาในการดูแลลูก ค้นคิดศึกษาถึงวิธีการรักษา*** คือ ส่วนตัวแล้วเป็นคนที่อยากทำอะไรแล้วก็จะบ้าทำอย่างจริงจังทำจนประสบความสำเร็จ*** ปัจจุบัน ลูกเติบโตแข็งแรงมาก และหายจาการเป็นหอบหืดแล้ว จากการศึกษาค้นคว้ามีการเขียนข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลรักษาโรคประมาณ 70 กว่าหน้า และบทความที่เขียนไว้จำนวนหนึ่ง ทำให้ช่วงนั้น ได้มีโอกาสรับเชิญไปบรรยายให้กับคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา มีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหอบหืดได้โทรศัทพ์มาเพื่อขอข้อมูลที่เขียนไว้ มาตีพิมพ์ให้กับนักศึกษาแพทย์ได้อ่านได้ศึกษากัน ซึ่งผมยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะทำเพื่อเป็นวิทยาทานเป็นสิ่งที่ผมปรารถนาอยู่แล้ว ปัจจุบัน ลูกโตแข็งแรงมาก และหายจาการเป็นหอบหืดแล้ว
***สะสมเปลือกหอย
จากที่เป็นคนบ้าทำอะไรจะทำจริงจัง เมื่อวัยเด็กชื่นชอบ และสนใจศึกษาค้นคว้าสะสมเปลือกหอยมาก มีความมหัศจรรย์ ลวดลายที่งดงาม เริ่มต้นจาการเก็บเปลือกหอยสะสมเอง นำเงินจากค่าขนมมาซื้อ บางตัวก็มีราคาแพงเกิน จึงได้ใช้วิธีต่อรองกับคุณพ่อ หากสามารถสอบได้คะแนนดีๆ ขอรางวัลโดยการขอซื้อเปลือกหอย เป็นความสุข และความสนุก จนปัจจุบัน สะสมเปลือกหอยไว้หลายสายพันธุ์ มีเกือบหมดทุกชนิดในโลก ยังมีที่เหลือก็ไม่สามารถสู้ได้เพราะราคาแพงบ้าเลือด ราคาบางตัว 10-25 ล้านบาท
แต่ล่าสุด ถือว่าโชคดีมาก เป็นความมหัสจรรย์ที่สงสัยเทวดาท่านเห็นใจ ได้หอยมหัศจรรย์ตัวหนึ่ง เป็นหอยที่แปลกมาก ไม่เคยเห็นมาก่อน เจอที่ปั้มน้ำมัน จังหวัดเพชรบุรี ถามแม่ค้าเพื่อขอซื้อบอกราคา 250 บาท กำลังจะต่อราคา พอดีเจ้าของร้านเดินเข้ามาบอกว่าไม่ยอมขาย เราก็อ้อนวอนขอซื้อจนมาจบที่ราคา 500 บาท แต่เมื่อเราอยากได้เลยตกลงซื้อทันทีโดยไม่ได้ต่อราคา พอซื้อมาก็ค้นคว้า และไม่พบข้อมูลอยู่ในสารบบเลย จึงได้ส่งไปให้ คุณสมหวัง ปัทมคันธิน นักสังขวิทยา นักสะสมเปลือกหอยระดับโลก แฟนพันธ์ุแท้ ดูแล้วตกใจมาก!!!! ฮืมมม ถามผมว่าได้มาจากไหน ทั้งโลกจะมีแค่ 4-5 ตัวเอง
ตัวนี้ชื่อ Lyria doutei ซึ่งทั้งโลกที่มีอยู่ของผมเป็นตัวที่ใหญ่ที่สุด และสวยที่สุดในโลก ถ้าผมลงประกาศขายตอนนี้ราคาจะสูงมาก และมีแต่คนแย่งกันซื้อ ผมค้นหาข้อมูลเข้าใจว่าเป็นความบังเอิญ เคยมีเรือประมงไทยได้ลากอวนในน่านน้ำโซมาเลีย อาจจะติดมา ปัจจุบันไม่สามารถไปได้อีก เพราะมีปัญหาโจรสลัด หอยความจริงไม่ได้หายาก แค่หาไม่เจอ ทำให้มีราคาที่สูงเท่านั้นเอง
***หวังสร้างเจดีย์เก็บพระธาตุ
ตอนนี้ได้เข้าไปช่วยมูลนิธิของลุงทองดี ที่ต้องการจะหาสถานที่เก็บพระธาตุ และเป็นที่สักการะบูชาให้กับประชาชนทั่วโลก ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการหาสถานที่ มองไว้ที่เขาใหญ่ มีทั้งภูเขา และแม่น้ำ สวยมากเหมาะสำหรับการสร้างเจดีย์ให้คนได้กราบไหว้บูชา แต่ก็ติดปัญหาหลายประการ
ที่ผ่านมา ผมไม่เคยคิดที่จะไปสร้างวัด สร้างโบสถ์ สร้างพระ ผมคิดอย่างเดียว คือ การปฏิบัติ แต่เมื่อหลายปีก่อนได้เดินทางไปประเทศพม่า ได้เห็นเจดีย์ชเวดากอง เจดีย์ของพระเจ้าอนิรุทธ เจดีย์อโนรธามังช่อ ที่อยู่มาได้เป็นพันปี ก็ยังคงยืนอยู่ตรงนี้ และมีคนบูรณะตลอดเวลา ทำให้เกิดความคิด การสร้างศาสนสถานยังมีประโยชน์ และสามารถคงอยู่ได้ยาวนาน เป็นการหล่อเลี้ยงศรัทธาของคนได้ไว้ให้ทำกุศล ทำบุญ
มีครูบาอาจารย์ที่เราได้เรียนกับท่านที่น่าเคารพนับถือในประเทศไทยยังมีอยู่เยอะ เริ่มต้นเรียนใหม่ปฏิบัติใหม่ๆ มีเรื่องราว และสิ่งมหัศจรรย์หลายอย่างมาก เรียนจนจบปริญญาเอก ยังไม่มีเรื่องเยอะมากเท่ากับเรียนธรรมะเพียงแค่ปีเดียว ภารรยาผมก็เห็นด้วย และปฏิบัติธรรมด้วยกันตลอด โดยเป็นความบังเอิญช่วงแต่งงานใหม่ ภรรยาผมได้มาทำงานที่บริษัทของเราเอง วันแรกมีพนักงานลาออก 7 คน ทำให้เครียดมาก ผมบอกว่าอย่างกังวลอะไร บริษัทเริ่มก่อตั้งก็กันแค่เรา 2 คน ถึงพนักงานลาออกไปก็ยังมีเหลืออีก ซึ่งมีมากกว่าเดิม แถมมีรายได้มีกำไรขึ้นมาจากเดิม
ภรรยาบอกว่าหลุดเลย!!! ใจที่กำลังวุ่นวาย เข้าใจแล้วว่าจุติใจอยู่ตรงไหน การปล่อยวาง พอวางลงได้ก็บรรลุสุขใจ และเข้าใจแล้วว่า การที่เราปฏิบัติธรรมมาช่วยให้มีสติขึ้น หลังจากนั้นภรรยาก็เข้ามาปฏิบัติธรรมร่วมกันตลอด มีวินัยมากกว่าผมอีก ส่วนลูกก็ปฏิบัติบ้างเล็กน้อย แต่ชอบทำบุญ ทำทาน ลูกผมใจใหญ่มาก อนาคตครอบครัวเราคงมุ่งเน้นทำงานช่วยเหลือมูลนิธิ ปฏิบัติธรรมตามความศรัทธา และเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ คือ ความสุขที่แท้จริง
ดร.อู๊ด เล่าให้ฟังในวัยเด็กที่ไม่ค่อยจะเติบโตตามวัยนัก เริ่มต้นของการเรียนก็สอบเทียบข้ามชั้นเรียนมาตั้งแต่เด็ก จนสามารถเข้ารั้วมหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุ 14 ปี เข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ยังเป็นเด็กชาย ซึ่งเป็นคณะที่โด่งดังจะเป็นที่นิยมของเด็กทั่วประเทศ รวมถึงคุณพ่อต้องการให้เรียนด้วย ถามว่าตามความชอบส่วนตัวของผมแล้ว ผมชอบเรียนด้านฟิสิกส์ ซึ่งคุณพ่อ และครอบครัวไม่เข้าใจว่าฟิสิกส์คืออะไร?
การเข้าเรียนวิศวกรรม ถึงแม้จะไม่ชอบนัก แต่ก็สามารถเรียนได้อย่างราบรื่น รวมทั้งยังเป็นพื้นฐานของการศึกษาต่อในระดับปริญญาโท และปริญญาเอกตามมาด้วย หลังจากศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีไม่กี่ปี ดร.อู๊ด ตั้งเป้าหมายที่จะศึกษาต่อที่ Stanford University ในสหรัฐอเมริกา เพราะมองว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ดี จึงได้เข้าไปสอบชิงทุนจากมูลนิธิการศึกษาไทย-อเมริกัน (ฟุลไบรท์) และสอบชิงทุนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ ) ซึ่งสอบผ่าน และได้ทุนทั้ง 2 แห่ง
ตามความฝันที่ต้องการจะเรียน Stanford University อยู่ตรงหน้าเพราะสามารถสอบชิงทุนได้ แต่ต้องล้มสลาย เพราะทุนจากฟุลไบรท์จะสนับสนุนการศึกษาเพียง 1 ปีเท่านั้น และด้วยข้อจำกัดด้านการเงินจากครอบครัว ทำให้ไม่อาจจะสนับสนุนการศึกษาในส่วนที่เหลือได้ทั้งหมด จึงต้องตัดสินใจเข้าหารือคุยเงื่อนไขกับธนาคารแห่งประเทศไทย ขอให้ ธปท.สนับสนุนทุนการศึกษาต่อจากฟุลไบรท์ ซึ่งกว่าจะตกลงกันได้ต้องใช้เวลาเจรจาระยะหนึ่ง
ตามความเป็นจริงอาจจะยาก เงื่อนไขแปลกจากเดิม และเป็นครั้งแรกของการให้ทุนร่วมกัน แต่ก็เกิดขึ้นจริงเมื่อฟุลไบรท์ พร้อมให้การสนับสนุนร่วมกับแบงก์ชาติ ทำให้ ดร.อู๊ด ก็สามารถเข้าศึกษาต่อใน Stanford University ตามความฝัน ด้วยความที่เป็นคนเก่ง ชีวิตไม่เคยธรรมดามาตั้งแต่เด็กๆ เรียนไปได้ไม่ถึงเดือน ความสามารถเริ่มโดดเด่นเหนือเพื่อน สามารถตอบโจทย์แก้ไขปัญหาในตำราเรียนได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้อาจารย์ที่สอนเรียกพบแล้วบอกว่า ไม่สามารถที่จะสอบอะไรได้อีก จึงขอให้ ดร.อู๊ด ทำหน้าที่ช่วยสอนหนังสือให้กับเพื่อนๆ ด้วย ดังนั้น จากในรั้ว Stanford University ที่เรียนมาจนสำเร็จ จบ ดร.ตั้งแต่อายุ 24 ปี ไม่เคยที่จะเสียเงินค่าเล่าเรียน แถมยังได้รับเงินจากการสอนอีกด้วย!!! ธรรมดาที่ไหนสำหรับผู้ชายคนนี้
หลังจากจบ ดร.เข้ามาทำงานที่แบงก์ชาติ 5 ปี ได้อยู่ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตการเงิน และมีส่วนรวมในการแก้ไขปัญหาเพิ่มทุนธนาคารกรุงไทย วงเงินกว่า 5 หมื่นล้านบาท จึงเชื่อมโยงให้ชีวิตของเขาผูกพันธ์กับธนาคารกรุงไทยไปนาน 8 ปี ซึ่งถือว่านานระดับหนึ่ง ความตั้งใจเดิมที่ออกจากแบงก์ชาติ ต้องการที่จะทำงานช่วยเหลือด้านมูลนิธิต่างๆ รวมถึงสนใจ และศึกษาเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมเป็นพิเศษ แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่จะต้องดูแลครอบครัว โดยเฉพาะลูกที่เป็นโรคภูมิแพ้ หอบหืด จึงจำเป็นที่จะต้องใช้เงินในการดูแลรักษา จึงได้เข้าทำงานที่ธนาคารต่อไป โดยตั้งใจจะเกษียนตอนอายุ 40-50 ปี
แต่ชีวิตก็ไม่เป็นอย่างที่หวัง หลังจากออกจกากรุงไทย ก็ได้รับคำร้องขอจาก บรรยง พงษ์พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ให้เข้ามาช่วยงานในธนาคารเกียรตินาคิน อีกครั้ง ทุกวันนี้ใช้ชีวิตประจำทุกวันนี้ทำอยู่ 4 อย่าง คือ 1.งานแบงก์ เป็นงานที่ทำเป็นอาชีพประจำ ในสายงานที่รับผิดชอบจะต้องมีการปรับปรุงพัฒนาอยู่ตลอดเวลา 2.ช่วยงานกระทรวงการคลัง ของรัฐมนตรีว่าการ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ เป็นงานที่ทำตามนโยบายเป็น Public service
3.งานที่เกี่ยวข้องกับธรรมะ โดยเริ่มจากตังเองก่อน ที่สนใจด้านคำสอนของพระพุทธศาสนา รวมถึงได้ปฏิบัติธรรมด้วย หลังจากนั้น เมื่อมีช่องทาง หรือโอกาสในการที่จะทำประโยชน์ หรือช่วยเหลือพุทธศาสนาก็เริ่มทำมาโดยตลอด ล่าสุด ได้เข้าไปช่วยงานของลุงทองดี หรรษคุณารมณ์ ประธานมูลนิธิ พระบรมธาตุ ในพระสังฆราชูปถัมป์ เตรียมที่จะสร้างเจดีย์ เพื่อจัดเก็บพระธาตุทั้งหมดของลุงทองดี เป็นสถานที่ที่ให้ประชาชนทั่วไปได้กราบไหว้บูชา
4.การดูแลครอบครัว พ่อ แม่ ภรรยา ลูก ดูแลให้เรียน ให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนดีมีคุณภาพ พ่อแม่ ตอนนี้ก็ต้องให้เวลา ผมจะเป็น Regular ว่าจะต้องโทรหาพ่อแม่ทุกวัน พยายามที่จะทานข้าวด้วยกันให้ได้บ่อยที่สุดเท่าที่มีโอกาส สัปดาห์หนึ่งหลายๆ ครั้ง
***แบ่งเวลาอย่างไร
ดร.อู๊ด เล่าให้ฟังติดตลกว่า เวลาของผมส่วนใหญ่อยู่ที่เลขา กับภรรยา โดยมากผมจะปฏิบัติตามคำสั่ง คือ เลขา กับภรรยา โดยเวลาทำงานปกติ เลขาจะเป็นผู้ที่ดูแลเรื่องเวลาให้ และที่เหลือจากการทำงานทั้งหมดจะเป็นเวลาของภรรยา โดยเฉพาะช่วงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ จะเป็นเวลาของแม่บ้านทั้งหมด ตอนนี้ลูกได้ไปเรียนอยู่ต่างประเทศ บางครั้งกลางคืนก็อาจจะต้องโทรศัพท์คุยกับลูกบ้าง ส่วนของพ่อแม่ก็ต้องโทรคุย ส่วนใหญ่จะเลือกเวลาปกติที่ช่วงไหนว่างช่วงไหนสะดวกมากกว่าที่จะจัดตารางฟิกไว้
ในช่วงที่ผ่านมา ตอนลูกยังเล็กมีโรคประจำตัวหอบหืด ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องให้เวลาดูแลลูกเป็นพิเศษ ผมใช้เวลาในการดูแลลูก ค้นคิดศึกษาถึงวิธีการรักษา*** คือ ส่วนตัวแล้วเป็นคนที่อยากทำอะไรแล้วก็จะบ้าทำอย่างจริงจังทำจนประสบความสำเร็จ*** ปัจจุบัน ลูกเติบโตแข็งแรงมาก และหายจาการเป็นหอบหืดแล้ว จากการศึกษาค้นคว้ามีการเขียนข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลรักษาโรคประมาณ 70 กว่าหน้า และบทความที่เขียนไว้จำนวนหนึ่ง ทำให้ช่วงนั้น ได้มีโอกาสรับเชิญไปบรรยายให้กับคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา มีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหอบหืดได้โทรศัทพ์มาเพื่อขอข้อมูลที่เขียนไว้ มาตีพิมพ์ให้กับนักศึกษาแพทย์ได้อ่านได้ศึกษากัน ซึ่งผมยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะทำเพื่อเป็นวิทยาทานเป็นสิ่งที่ผมปรารถนาอยู่แล้ว ปัจจุบัน ลูกโตแข็งแรงมาก และหายจาการเป็นหอบหืดแล้ว
***สะสมเปลือกหอย
จากที่เป็นคนบ้าทำอะไรจะทำจริงจัง เมื่อวัยเด็กชื่นชอบ และสนใจศึกษาค้นคว้าสะสมเปลือกหอยมาก มีความมหัศจรรย์ ลวดลายที่งดงาม เริ่มต้นจาการเก็บเปลือกหอยสะสมเอง นำเงินจากค่าขนมมาซื้อ บางตัวก็มีราคาแพงเกิน จึงได้ใช้วิธีต่อรองกับคุณพ่อ หากสามารถสอบได้คะแนนดีๆ ขอรางวัลโดยการขอซื้อเปลือกหอย เป็นความสุข และความสนุก จนปัจจุบัน สะสมเปลือกหอยไว้หลายสายพันธุ์ มีเกือบหมดทุกชนิดในโลก ยังมีที่เหลือก็ไม่สามารถสู้ได้เพราะราคาแพงบ้าเลือด ราคาบางตัว 10-25 ล้านบาท
แต่ล่าสุด ถือว่าโชคดีมาก เป็นความมหัสจรรย์ที่สงสัยเทวดาท่านเห็นใจ ได้หอยมหัศจรรย์ตัวหนึ่ง เป็นหอยที่แปลกมาก ไม่เคยเห็นมาก่อน เจอที่ปั้มน้ำมัน จังหวัดเพชรบุรี ถามแม่ค้าเพื่อขอซื้อบอกราคา 250 บาท กำลังจะต่อราคา พอดีเจ้าของร้านเดินเข้ามาบอกว่าไม่ยอมขาย เราก็อ้อนวอนขอซื้อจนมาจบที่ราคา 500 บาท แต่เมื่อเราอยากได้เลยตกลงซื้อทันทีโดยไม่ได้ต่อราคา พอซื้อมาก็ค้นคว้า และไม่พบข้อมูลอยู่ในสารบบเลย จึงได้ส่งไปให้ คุณสมหวัง ปัทมคันธิน นักสังขวิทยา นักสะสมเปลือกหอยระดับโลก แฟนพันธ์ุแท้ ดูแล้วตกใจมาก!!!! ฮืมมม ถามผมว่าได้มาจากไหน ทั้งโลกจะมีแค่ 4-5 ตัวเอง
ตัวนี้ชื่อ Lyria doutei ซึ่งทั้งโลกที่มีอยู่ของผมเป็นตัวที่ใหญ่ที่สุด และสวยที่สุดในโลก ถ้าผมลงประกาศขายตอนนี้ราคาจะสูงมาก และมีแต่คนแย่งกันซื้อ ผมค้นหาข้อมูลเข้าใจว่าเป็นความบังเอิญ เคยมีเรือประมงไทยได้ลากอวนในน่านน้ำโซมาเลีย อาจจะติดมา ปัจจุบันไม่สามารถไปได้อีก เพราะมีปัญหาโจรสลัด หอยความจริงไม่ได้หายาก แค่หาไม่เจอ ทำให้มีราคาที่สูงเท่านั้นเอง
***หวังสร้างเจดีย์เก็บพระธาตุ
ตอนนี้ได้เข้าไปช่วยมูลนิธิของลุงทองดี ที่ต้องการจะหาสถานที่เก็บพระธาตุ และเป็นที่สักการะบูชาให้กับประชาชนทั่วโลก ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการหาสถานที่ มองไว้ที่เขาใหญ่ มีทั้งภูเขา และแม่น้ำ สวยมากเหมาะสำหรับการสร้างเจดีย์ให้คนได้กราบไหว้บูชา แต่ก็ติดปัญหาหลายประการ
ที่ผ่านมา ผมไม่เคยคิดที่จะไปสร้างวัด สร้างโบสถ์ สร้างพระ ผมคิดอย่างเดียว คือ การปฏิบัติ แต่เมื่อหลายปีก่อนได้เดินทางไปประเทศพม่า ได้เห็นเจดีย์ชเวดากอง เจดีย์ของพระเจ้าอนิรุทธ เจดีย์อโนรธามังช่อ ที่อยู่มาได้เป็นพันปี ก็ยังคงยืนอยู่ตรงนี้ และมีคนบูรณะตลอดเวลา ทำให้เกิดความคิด การสร้างศาสนสถานยังมีประโยชน์ และสามารถคงอยู่ได้ยาวนาน เป็นการหล่อเลี้ยงศรัทธาของคนได้ไว้ให้ทำกุศล ทำบุญ
มีครูบาอาจารย์ที่เราได้เรียนกับท่านที่น่าเคารพนับถือในประเทศไทยยังมีอยู่เยอะ เริ่มต้นเรียนใหม่ปฏิบัติใหม่ๆ มีเรื่องราว และสิ่งมหัศจรรย์หลายอย่างมาก เรียนจนจบปริญญาเอก ยังไม่มีเรื่องเยอะมากเท่ากับเรียนธรรมะเพียงแค่ปีเดียว ภารรยาผมก็เห็นด้วย และปฏิบัติธรรมด้วยกันตลอด โดยเป็นความบังเอิญช่วงแต่งงานใหม่ ภรรยาผมได้มาทำงานที่บริษัทของเราเอง วันแรกมีพนักงานลาออก 7 คน ทำให้เครียดมาก ผมบอกว่าอย่างกังวลอะไร บริษัทเริ่มก่อตั้งก็กันแค่เรา 2 คน ถึงพนักงานลาออกไปก็ยังมีเหลืออีก ซึ่งมีมากกว่าเดิม แถมมีรายได้มีกำไรขึ้นมาจากเดิม
ภรรยาบอกว่าหลุดเลย!!! ใจที่กำลังวุ่นวาย เข้าใจแล้วว่าจุติใจอยู่ตรงไหน การปล่อยวาง พอวางลงได้ก็บรรลุสุขใจ และเข้าใจแล้วว่า การที่เราปฏิบัติธรรมมาช่วยให้มีสติขึ้น หลังจากนั้นภรรยาก็เข้ามาปฏิบัติธรรมร่วมกันตลอด มีวินัยมากกว่าผมอีก ส่วนลูกก็ปฏิบัติบ้างเล็กน้อย แต่ชอบทำบุญ ทำทาน ลูกผมใจใหญ่มาก อนาคตครอบครัวเราคงมุ่งเน้นทำงานช่วยเหลือมูลนิธิ ปฏิบัติธรรมตามความศรัทธา และเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ คือ ความสุขที่แท้จริง