xs
xsm
sm
md
lg

รับเหมาฯ-วัสดุก่อสร้างรับอานิสงส์ภาครัฐ โตตาม GDP

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ประเทศไทยเริ่มได้รับสัญญาณบวกจากปัจจัยสนับสนุนภายในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐผ่านหลายโครงการโครงสร้างพื้นฐาน เริ่มใส่เกียร์เดินหน้า เชื่อว่าตลอดทั้งปีจีดีพีประเทศน่าจะอยู่ที่ระดับ 3-3.2% ตามที่หลายฝ่ายคาดหวัง


เมื่อภาครัฐรุกลงทุน หุ้นวัสดุก่อสร้างเริ่มขยับ


รัฐบาลเร่งเครื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเต็มที่ เมื่อเดือนพฤษภาคม คณะรัฐมนตรี หรือ ครม.เห็นชอบโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า 2 สาย สายสีชมพู และสายสีเหลือง มูลค่าลงทุนรวม 111,335 ล้านบาท ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ หรือ PPP แยกเป็นสายสีชมพู มูลค่าการลงทุน 56,691 ล้านบาท และสายสีเหลือง มูลค่าการลงทุน 54,644 ล้านบาท ขณะที่การลงทุนรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ก็จะดำเนินการก่อสร้างได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-สิงหาคมนี้เป็นต้นไป

อีกทั้งกระทรวงการคลัง ยังได้เสนอปรับปรุงมาตรการกระตุ้นให้เอกชนลงทุน โดยการขยายสิทธิทางภาษีให้แก่โครงการที่เริ่มลงทุนในปี 2559 สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า รวมถึงปลดล๊อกระยะเวลาว่าไม่จำเป็นต้องเสร็จภายในปีเดียว ก็เพื่อแก้ไขปัญหาเอกชนยังไม่ลงทุนเพราะไม่สามารถใช้มาตรการลดหย่อนได้ เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจทั้งปี 2559 ให้ขยายตัวได้ถึง 3.3% โดยไตรมาสแรกขยายตัวแล้ว 3.2% คาดว่าไตรมาส 2/2559 จะขยายตัวได้ไม่มากกว่าไตรมาสแรก และไตรมาสที่ 3 จะขยายตัวได้มากสุดของปี

มีการคาดการณ์ว่า ในปี 2559 จะมีเม็ดเงินลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐประมาณ 20% ของวงเงินทั้งหมด 1.9 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 3.8 แสนล้านบาท และเมื่อรวมกับเม็ดเงินลงทุนของภาคเอกชนจะสูงถึงประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท การเดินหน้าโครงการภาครัฐดังกล่าวส่งผลโดยตรงให้ความต้องการใช้วัสดุก่อสร้าง เช่น เหล็ก ปูนซีเมนต์ คอนกรีตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นศักยภาพการทำกำไรของกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้าง

ทีมเศรษฐกิจผู้จัดการ 360 องศา สำรวจความเห็นจากโบรกเกอร์ พบว่า ... หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างยังเป็นกลุ่มที่นักวิเคราะห์แนะนำให้เข้าลงทุน แต่ในความจริงยังมีหุ้นอีกกลุ่มเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวร้อนแรงไม่แพ้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเพราะหลายบริษัทมีผลดำเนินงานที่ดี แต่ราคาหุ้นปัจจุบันยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับโอกาส และแนวโน้มในการเติบโตในอนาคต นั่นคือ “กลุ่มวัสดุก่อสร้าง”

เริ่มกันที่ บมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์ (TASCO) ผู้ผลิตยางมะตอยรายใหญ่ของประเทศ ถูกมองว่าจะเป็นเบอร์ 1 ในหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ซึ่งจะเป็นการเติบโตที่ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาๆ หลังไตรมาสแรกบริษัททำกำไรได้ 1.18 พันล้านบาท จากทั้งปี 2558 ที่ระดับ 5.07 พันล้านบาท และแนวโน้มของธุรกิจตลอดทั้งปียังพบว่า มีโอกาสเติบโตมากขึ้น จนทำให้เป้าหมายทั้งปี 2559 ผู้บริหารเพิ่มปริมาณยอดขายจากปีก่อนอีก 14-15% มาอยู่ที่ 2.7 ล้านตัน จาก 2.2 ล้านตัน ในปี2558 เพื่อตอบรับกับดีมานต์ที่สูงขึ้นทั้งจากภายในประเทศ และต่างประเทศ

ถัดมาคือ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)  แม้ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไม่ดี แต่บริษัทยังสามารถทำกำไร 4.53 หมื่นล้านบาท สูงกว่าปี 2557 ที่มีกำไร สุทธิ 3.36 หมื่นล้านบาท ขณะที่ภาพรวมตลาดปูนซีเมนต์ในปีนี้ผู้บริหารเชื่อว่ายังเติบโตได้ 3-5% เนื่องจากโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ยังเดินหน้าก่อสร้าง ส่วนวัสดุก่อสร้างประเภทผนัง และหลังคายังคงทรงตัวจากปริมาณการใช้งานในโครงการอสังหาริมทรัพย์ การก่อสร้างบ้าน และคอนโดมิเนียมใหม่มีน้อย แต่เชื่อว่าจะขยายตัวตามโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ที่ภาครัฐเร่งผลักดัน

ไม่เพียงเท่านี้ สิ่งที่น่าสนใจสำหรับ SCC คือสัดส่วนรายได้ เพราะพบว่า ปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากธุรกิจเคมิคอลส์ 44% แพกเกจจิ้ง 17% และปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง 39% กล่าวได้ว่า แม้ฟากวัสดุก่อสร้างจะชะลอตัว แต่ปิโตรเคมียังช่วยพยุง และผลักดันการเติบโตต่อไปได้ และจากราคาน้ำมันในตลาดลดลง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงทำให้ความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น

นั่นรวมถึงผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ อย่าง บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง หรือ SCCC ที่เชื่อว่าผลดำเนินงานในปี 2559 จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากการเพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ๆ และการขยายตลาดในต่างประเทศเข้ามาช่วยลดความผันผวน จึงนับเป็นอีกหนึ่งหุ้นที่น่าสนใจเข้าลงทุน

ขณะที่  บมจ.ทักษิณคอนกรีต หรือ SCP  ถูกมองว่าจะเป็นอีกหนึ่งหุ้นที่ได้รับอานิสงส์ เมื่อกระทรวงคมนาคม เดินหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบราง จนทำให้ SCP ตั้งเป้ากำลังการผลิตในปี 2559 ไว้ที่ 2.52 หมื่นลูกบาศก์เมตร ทั้งการเจาะ และตอกเสาเข็ม รองรับการเติบโตรายได้ที่ระดับ 5%

เช่นเดียวกับ  บมจ.ดีคอนโปรดักส์ หรือ DCON ที่เชื่อมั่นว่า หากภาครัฐมีความชัดเจนในการพัฒนาโครงการต่างๆ จะช่วยหนุนให้รายได้ในปี 2559 เพิ่มขึ้นจากประมาณการไว้  รวมถึง  บมจ.ไดนาสตี้เซรามิค หรือ DCC  เนื่องจากบริษัทมีการจัดการและบริหารต้นทุนที่ดีขึ้นในทุกสาขา รวมถึงมีการจัดการระบบการการผลิตที่ดีขึ้น รวมถึงต้นทุนจากราคาแก๊สลดลงมาค่อนข้างต่ำจึงหนุนต่อการต้นทุนการส่งสินค้าให้ลดลง และเมื่อบวกกับโครงการลงทุนภาครัฐที่จะเกิดขึ้นทำให้ถูกยกให้เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่อาจได้เห็นการเติบโตของรายได้-กำไรที่เป็นสถิติใหม่ในปีนี้ หลังบริษัทตั้งเป้ากำลังการผลิตไว้ประมาณ 60 ล้านตารางเมตร/ปี จากปีก่อนที่ผลิตเพื่อจำหน่ายได้ประมาณ 53 ล้านตารางเมตร/ปี

 
“นพดล พิริยวุฒิ” นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน บล.ธนชาต ระบุ หากมองกันในระยะยาวจริงๆ การก่อสร้างถือเป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว การเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐทำให้กรอบการลงทุนระยะ 1-2 ปีข้างหน้ายังอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” โดยหุ้นวัสดุก่อสร้าง 5 บริษัทที่มี P/E ต่ำสุดในกลุ่ม โดยอันดับ 1 คือ บริษัท ทักษิณคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ SCP มี P/E ที่ 9.34 เท่า อันดับ 2 คือ บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO อันดับ 3 คือ บริษัท ดีคอนโปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ DCON อันดับ 4 คือ บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC และอันดับ 5 คือ บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) หรือ DCC

ขณะที่หุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงสุด คือ DCON โดยมีอัตราจากเงินปันผลที่ 7.63% รองลงมาคือ DCC มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 4.70% (จ่ายทุกไตรมาส) SCP มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 4.04% SCCC มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 3.78% และ TASCO มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 1.22% อย่างไรก็ตาม หลักทรัพย์ดังกล่าวยังได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากนโยบายโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานระบบรางในปี 2558-2559 ที่จะเร่งดำเนินการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะแบ่งดำเนินการในปีนี้ 6 เส้นทาง ระยะทางรวมกว่า 880 กิโลเมตร คาดว่าจะใช้วงเงินในการลงทุนโครงการดังกล่าวกว่า 8.3 หมื่นล้านบาท

“ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ จำกัด ให้ความเห็นว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2559 รัฐบาลยังคงเดินหน้าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนอย่างเต็มที่ ไม่ใช่แค่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังมีการลงทุนในเครื่องจักร และการผลิตใหม่ๆ รวมถึงมีการจัดตั้ง “Thailand Infrastructure Fund” กองทุนขนาด 1 แสนล้านบาท เพื่อร่วมทุนกับภาคเอกชนในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะช่วยเร่งการลงทุนให้เกิดขึ้นได้เร็วขึ้น ดังนั้น ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ต่อเนื่องถึงสิ้นปี 2559 จนถึงปี 2560 น่าจะยังมาจากการลงทุนภาครัฐผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่คาดว่าจะเริ่มเห็นการประมูลได้ตั้งแต่เดือน มิ.ย.นี้ รวม 7 โครงการ มูลค่ารวม 2.89 แสนล้านบาท

ดังนั้น หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการก่อสร้างภาครัฐ คือ ผู้รับเหมาฯ ขนาดใหญ่ คือ CK UNIQ และผู้รับเหมาขนาดกลาง-เล็ก SEAFCO นอกจากนี้ ยังน่าจะส่งผลดีต่อความต้องการใช้ปูนซีเมนต์-วัสดุก่อสร้าง ให้ฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ยังคงแนะนำ SCC

“หุ้นที่เกี่ยวต่อการก่อสร้าง ได้แก่ หุ้นวัสดุก่อสร้างและหุ้นรับเหมาก่อสร้าง เชื่อว่าจะกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง เพราะได้รับอานิสงส์เต็มที่จากการที่รัฐบาลเริ่มอนุมัติงบลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานไปแล้ว” นายไพบูลย์ กล่าว

ส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มเหล็ก แม้โดยรวมราคาขายจะปรับตัวดีขึ้น มีออเดอร์ หรือคำสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมากในช่วงนี้ แต่ในระยะยาวหุ้นกลุ่มเหล็กของไทยยังไม่น่าที่จะลงทุน เพราะโครงสร้างธุรกิจของหุ้นกลุ่มเหล็กไทยยังเป็นเพียงแค่ Trading Company หรือซื้อมาขายไป ยังไม่สามารถเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจให้ตัวเองได้

กล่าวได้ว่า “กลุ่มวัสดุก่อสร้าง” ถือเป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจ เนื่องจากบริษัทมีศักยภาพสามารถเติบโตในระยะยาว สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ตามความต้องการของตลาดทั้งใน และต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนก็ควรหลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่มเดียวกันที่อาศัยเพียงการปล่อยข่าวช่วยสร้างมูลค่าให้แก่ราคาหุ้น เพื่อความปลอดภัยของทุกท่าน
กำลังโหลดความคิดเห็น