xs
xsm
sm
md
lg

“CHOW” ตั้งเป้ารายได้โตกว่าปีก่อนหน้า 50% เหตุเหล็กราคาดี จ่อเข็นบริษัทลูกเข้า mai ในQ3/59 นี้ (ชมคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายอนาวิล จิรธรรมศิริ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บมจ.เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ หรือ CHOW
CHOW ตั้งเป้ารายได้ขายเหล็กในปีนี้แตะ 4,000 ล้านบาท เหตุรัฐออกมาตรการคุ้มครองกันเหล็กด้อยคุณภาพเข้ามาตีตลาด พร้อมทุ่มงบกว่า 5,000 ล้านบาททำโรงไฟฟ้า เตรียมเข็นบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนใน mai ระดมทุนพัฒนาธุรกิจโรงไฟฟ้า คาดชัดเจนในไตรมาส 3



นายอนาวิล จิรธรรมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ หรือ CHOW กล่าวถึงแผนธุรกิจของบริษัทในปีนี้ว่า บริษัทประมาณการรายได้ในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนรายได้ที่เติบโตขึ้น 50% เทียบจากปีก่อนหน้า ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวมประมาณ 2,440 ล้านบาท เนื่องจากในปีนี้บริษัทฯ มียอดการขายเหล็กที่ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา จากกรณีที่มีการนำเหล็กด้อยคุณภาพเข้ามาขาย ซึ่งมีราคาถูกกว่า ทำให้กระทบต่อการจำหน่ายเหล็ก แต่จากที่ทางรัฐบาลได้มีมาตรการคุ้มครองผู้ประกอบการ ทำให้เหล็กด้อยคุณภาพไม่สามารถเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยได้อีก ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯ สามารถทำยอดขายเหล็กได้เพิ่มมากขึ้น โดยตั้งเป้ายอดขายเหล็กในปีนี้คาดว่าไม่น้อยกว่า 1.5-1.8 แสนตัน ซึ่ง 5 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ มียอดขายเหล็กไปแล้วกว่า 70,000-80,000 หมื่นตัน อีกทั้งการที่เหล็กได้มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยที่ 14-15 บาท/กิโลกรัม เทียบจากไตรมาส 1/2559 ซึ่งราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 13.50 บาท/กิโลกรัม ทำให้มีส่วนต่างของราคาที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ในส่วนของรายได้จากการขายไฟในปีนี่มีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น

นอกเหนือจากนี้ ปัจจุบันบริษัทฯมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ญี่ปุ่นซึ่งได้ทำการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าไปแล้ว (COD) แล้วจำนวน 23.5 เมกะวัตต์ และในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้จะมีการเริ่มทยอยขายไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ได้อีกอย่างน้อย 5 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ภายในสิ้นปีนี้บริษัทจะมียอดขายไฟรวมแล้วไม่น้อยกว่า 28 เมกะวัตต์ และในปี 2560 บริษัทฯ มีแผนร่วมทุน กับ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง หรือ RATCH ในการก่อสร้างโซลาร์ฟาร์มอีก 13 เมกะวัตต์ โดยขณะนี้อยู่ในช่วงของการรออนุมัติการเข้าร่วมลงทุนจากคณะกรรมการบริษัทฯ

ขณะที่ในส่วนของกำไรนั้นในปีนี้บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะมีกำไรจากปีก่อนหน้า ซึ่งมียอดขากทุนสุทธิกว่า 110 ล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากการที่ไตรมาส 1 บริษัทฯ สามารถทำกำไรได้แล้วกว่า 48 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯคาดว่าในไตรมาส 2 ปีนี้ รายได้ของบริษัทฯ คาดว่าจะขึ้นไม่น้อยกว่าโต 20% เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้า จากปริมาณการขายเหล็กที่เพิ่มขึ้น และมีรายได้จากการขายไฟเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ

“แผนการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มในปีนี้ไม่น้อยกว่า 50 เมกะวัตต์ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 5,000 ล้านบาท โดยบริษัทจะแบ่งเป็นโครงการร่วมลงทุนกับบริษัท บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำนวน 27 เมกะวัตต์ และที่เหลืออีก 23 เมกะวัตต์ บริษัทฯ จะลงทุนเอง โดยจะคาดว่าจะเริ่มขายไฟฟ้าได้ปีนี้อย่างน้อย 5 เมกะวัตต์แรก และที่เหลือจะเริ่มทยอยขายได้ในปีถัดไป ส่วนโครงการการผลิตไฟฟ้าโซลาร์รูฟ ในประเทศไทย จำนวน 7 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเริ่มทยอยขายไฟฟ้าได้หมดภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ ทำให้สิ้นปีนี้บริษัทฯ จะมียอดรวมการจำหน่ายไฟในโครงการโซลาร์ฟาร์ม และโซลาร์รูฟ ไม่น้อยกว่า 35.5 เมกะวัตต์”


อย่างไรก็ตาม นอกจากแผนการลงทุนทำโรงไฟฟ้าของบริษัทฯ ในประเทศญี่ปุ่นแล้ว บริษัทฯ มีแผนที่จะก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ประเทศฟิลิปปินส์อีกด้วย โดยบริษัมได้มีการทำสัญญา MOU ในการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้า จำนวน 390 เมกะวัตต์ โดยในช่วงแรกคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติการลงทุน จำนวน 25 เมกะวัตต์ มูลค่าการลงทุน 1,500 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้หลังจากมีความชัดเจนจากรัฐบาลใหม่ของฟิลิปปินส์แล้ว เนื่องจากยังมีข้อติดขัดในเรื่องสัญญาบางอย่างที่ฟิลิปปินส์อนุมัติให้เฉพาะประเทศที่จดทะเบียนในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

ทั้งนี้ ในส่วนของการนำบริษัท เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด หรือ CE เข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ mai ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนได้ในไตรมาส 3/2559 นี้ โดยวัตถุประสงค์ของการเข้าระดมทุนขายหุ้น IPO ในครั้งนี้เพื่อใช้ในการขยายกิจการด้านโรงไฟฟ้า โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 380 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (ราคาพาร์) 0.50 บาท/หุ้น แบ่งเป็นเสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นของ CHOW ตามสัดส่วน 95 ล้านหุ้น และอีก 285 ล้านหุ้นเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป

ขณะที่ในส่วนของหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ของบริษัท ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 5 เท่า โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะลดส่วนที่เป็น D/E โดยการนำบริษัทฯลูกคือ บริษัท เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด เข้าจดทะเบียน ซึ่งจะส่งผลให้ เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่ มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น และสามารถมีเงินทุนหมุนเวียนในการทำธุรกิจของตัวเองใช้เงินลงทุนของตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาบริษัทแม่ โดยในขณะนี้ได้มีการการเจรจากับ EXIM BANK ในการลงแสวงหาเครื่องมือทางการเงินเพื่อใช้ในการลงทุนโครงการต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากมีดอกเบี้ยที่ถูกกว่า
กำลังโหลดความคิดเห็น