เจ้าของแบรนด์รองเท้า “บาโอจิ” แตกไลน์ธุรกิจอสังหาฯ ประเดิมโครงการแรก “อีลิท ศาลายา” คอนโดฯ เจาะกลุ่มนักศึกษา-นักลงทุนซื้อปล่อยเช่า เผยแผนลงทุนโครงการที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบ-แนวสูง ปีละ 2-3 โครงการ
นายชาลี ลิม รองประธานกรรมการ บริษัท อีลิท พลัส ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ “อีลิท ศาลายา” เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการดำเนินธุรกิจผลิต และจำหน่ายรองเท้า “บาโอจิ” มากว่า 18 ปี และ บริษัท ซีทีที ทรานสปอต จำกัด ธุรกิจลอจิสติกส์ ซึ่งนำเข้า และส่งออกสินค้าระหว่างประเทศไทย-จีน มากว่า 11 ปี ได้เล็งเห็นศักยภาพของการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย และการเป็นศูนย์กลางประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ซึ่งจะทำให้มีนักลงทุน และท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะชาวจีนที่เข้ามาท่องเที่ยว ลงทุน ศึกษา และรักษาในโรงพยาบาลต่างๆ ในประเทศไทยถึงปีละประมาณ 10 ล้านคน และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นทุกปีๆ ละประมาณ 20-30% ซึ่งทำให้ความต้องการที่พักอาศัยเพิ่มขึ้นตามมา และโดยพฤติกรรมของชาวจีนจะนิยมซื้อที่พักอาศัยมากกว่าการเช่า รวมถึงกลุ่มที่ต้องการซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่า
ดังนั้น จึงได้ร่วมกับ นายอนุวัฒน์ เมธีวิบูลวุฒิ อดีตอธิบดีกรมที่ดิน ร่วมก่อตั้งบริษัท อีลิท พลัส ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท เมื่อเดือนมกราคม 2558 ที่ผ่านมา พัฒนาคอนโดมิเนียมโครงการแรก “อีลิท ศาลายา” ตั้งอยู่ที่ ต.ศาลายา ต.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ใกล้มหาวิทยาลัยมหิดล (ศาลายา) บนพื้นที่ 3 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร ขนาด 25-50 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยประมาณ 60,000 บาท/ตารางเมตร หรือยูนิตละประมาณ 1.37-3 ล้านบาท จำนวน 375 ยูนิต รวม 375 ยูนิต รวมมูลค่าโครงการประมาณ 700 ล้านบาท เน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ปกครองนักศึกษา คนไทย และคนจีนที่ซื้อเพื่อการลงทุน และอยู่อาศัย โดยจะเปิดขายในวันที่ 4-5 มิถุนายน 2559 นี้ ตั้งเป้ายอดขายในช่วงเปิดตัวประมาณ 30% และจนถึงสิ้นปี 2559 จะมียอดขายรวมประมาณ 80%
เอลิท ศาลายา ถือว่าเหมาะแก่นักลงทุนที่ต้องการซื้อเพื่อปล่อยเช่าให้กับนักศึกษา เนื่องจากมีราคาที่ไม่สูงมาก อีกทั้งยังตกแต่งครบพร้อมเข้าอยู่ ซึ่งหลังจากนี้ ทำเลดังกล่าวสีผังเมืองได้เปลี่ยนเป็นสีเขียว สามารถก่อสร้างอาคารขนาดไม่เกิน 4,000 ตร.ม.เท่านั้น ซึ่งจะทำให้ราคาที่อยู่อาศัยปรับขึ้นไปสูงมาก ปัจจุบัน อีลิท ศาลายา ผ่านการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการก่อสร้างฐานราก ซึ่งการที่บริษัทเป็นน้องใหม่ของธุรกิจอสังหาฯ จึงต้องการสร้างชื่อเสียงด้วยการพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพเพื่อเป็นการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รับรู้ วัสดุก่อสร้างล้วนเป็นเกรดเอที่ได้รับความนิยม
“การที่เราเลือกทำเลใกล้มหาวิทยาลัยมหิดล เพราะมองว่า ทำเลดังกล่าวไม่มีการแข่งขันสูงมาก แต่มีดีมานด์ และสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ดี เชื่อว่าภายในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี จะมีความเจริญเติบโตไม่แพ้ย่านสุขุมวิท เพราะนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล จะมีค่าครองชีพที่สูงกว่า และมีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างจากนักศึกษาสถาบันอื่น ดังนั้น ผู้ปกครอง และนักศึกในสถาบันดังกล่าวจะมีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยสูง” นายชาลี กล่าว
นายชาลี กล่าวต่อว่า แม้ว่าปัจจุบัน สภาวะเศรษฐกิจของไทยจะอยู่ในภาวะชะลอตัว ซึ่งไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย แต่รวมถึงประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ซึ่งนักธุรกิจจะต้องวางแผนการลงทุนให้รอบคอบ ไม่ใช่หยุดลงทุน แต่ต้องสามารถรักษายอดขายเอาไว้ได้ ซึ่งจะเป็นบทพิสูจน์ความสามารถได้เป็นอย่างดี
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจอสังหาฯ ของบริษัท ตั้งเป้าพัฒนาโครงการอสังหาฯ อย่างต่อเนื่องปีละประมาณ 2-3 โครงการ ทั้งในรูปแบบแนวสูง และแนวราบ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับศักยภาพของที่ดินที่ซื้อมา ซึ่งขณะนี้มีผู้นำที่ดินมาเสนอขายให้หลายแปลง ทั้งในเขตซีบีดี และย่านชานเมือง แต่ในระยะแรกบริษัทฯ เน้นการพัฒนาโครงการในรูปแบบของคอนโดฯ ระดับกลาง ใกล้สถาบันการศึกษา หรือใกล้แนวรถไฟฟ้าก่อน โดยจะพัฒนาภายใต้แบรนด์ “อีลิท” เพื่อสร้างความจดจำให้แก่ผู้บริโภค
นอกจากนี้ มีแผนที่จะดึงผู้ประกอบการอสังหาฯ รายใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 10 จากประเทศจีนเข้ามาร่วมทุนพัฒนาโครงการอสังหาฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาแผนลงทุน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน กลุ่มบริษัทมีรายได้จากธุรกิจลอจิสติกส์ในสัดส่วน 60% และรายได้จากธุรกิจรองเท้าบาโอจิ สัดส่วน 40% แต่ภายหลังจากมีธุรกิจอสังหาฯ สัดส่วนรายได้จะปรับเป็นลอจิสติกส์ 40% รองเท้าบาโอจิ 30% และอสังหาฯ 30% ภายใน 2 ปีหลังจากนี้