ผลงานในไตรมาสแรก บจ.ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มียอดขายรวม 2,383,912 ล้านบาท ลดลง 6.17% จากงวดเดียวกันปีก่อน แต่ผลจากอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น ทำให้ บจ.มีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 233,322 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.96% จากงวดเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 28.43% จากไตรมาส 4/2558
ดร.สันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บจ.ใน SET จำนวน 514 บริษัท หรือคิดเป็น 92.28% จากทั้งหมด 557 บริษัท รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (PF & REIT) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF)/ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด หรือ NPG นำส่งผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/ 2559 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2559 แล้ว โดย บจ.มีกำไรสุทธิ จำนวน 423 บริษัท คิดเป็น 75.94% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด มียอดขายรวมเท่ากับ 2,383,912 ล้านบาท ลดลง 6.17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลของธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค และปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ มียอดขายลดลงตามทิศทางราคาน้ำมัน และ บจ.มีกำไรสุทธิ 233,322 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.96% จากงวดเดียวกันปีก่อน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากการกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจในภาคการบริการ และอุปโภคบริโภค คือ หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดเหล็ก หมวดขนส่ง และหมวดพาณิชย์ เป็นต้น
ขณะที่เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2558 บจ.มียอดขายลดลง 7.42% แต่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 28.43% และเมื่อพิจารณาฐานะของกิจการ พบว่า โครงสร้างเงินทุนของ บจ.ยังคงแข็งแรง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (debt-to-equity ratio) (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.27 เท่า เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2558 ที่ 1.24 เท่า และมีอัตราส่วนภาระหนี้สินต่อทุน (Interest bearing debt-to-equity ratio) (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 0.69 เท่า เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก ณ สิ้นปี 2558
ทั้งนี้ ในกรณีที่ไม่รวมธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค และปิโตรเคมีภัณฑ์ ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันลดลงต่อเนื่องจากปี 2558 ผลการดำเนินงานโดยรวม พบว่า บจ.จะมียอดขายเพิ่มขึ้น 4.03% และมีกำไรสุทธิทรงตัวจากปีก่อนหน้า
“ในไตรมาส 1/2559 ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลงต่อเนื่องมีส่วนทำให้ บจ.ใน SET มีรายได้ลดลงจากปีก่อน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากยอดขายในหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค และปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ที่ปรับลดลง อย่างไรก็ดี ขณะเดียวกัน มีส่วนช่วยให้ บจ.มีต้นทุนการผลิตลดลงเช่นกัน จึงทำให้ในภาพรวม บจ.มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นเป็น 24.55% เทียบกับ 21.74% ในช่วงเดียวกันในปีก่อน ผลการดำเนินงานของ บจ.สะท้อนให้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของ บจ.ในเรื่องแรก คือ การมีอัตรากำไรดีขึ้น ซึ่งพบถึง 21 หมวดธุรกิจ และเรื่องที่สอง คือ การฟื้นตัวด้านยอดขาย อัตรากำไรขั้นต้น และการมีกำไรสุทธิปรับสูงขึ้น ซึ่งพบมีถึง 10 หมวดธุรกิจ และส่วนใหญ่อยู่ในหมวดธุรกิจที่เกี่ยวข้องต่อภาคการบริการ และการอุปโภคบริโภค ได้แก่ หมวดขนส่ง อาหารและเครื่องดื่ม พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รับเหมาก่อสร้าง เหล็ก พาณิชย์ บรรจุภัณฑ์ สินค้าแฟชั่น ของใช้ในครัวเรือนสำนักงาน และบริการเฉพาะกิจ
ด้านผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2559 ของ บจ.ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ปรับลดลง โดย บจ. mai มียอดขาย 31,036 ล้านบาท ลดลง 0.14% และมีกำไรสุทธิ 1,782 ล้านบาท ลดลง 19.47% จากงวดเดียวกันปีก่อน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นลดลงเช่นกันจาก 25.48% เป็น 24.24%” ดร.สันติ กล่าว