ราคาทองคำในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลง 15 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือคิดเป็น 1.16% ปิดที่ระดับ 1,272ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยมีปัจจัยกดดันหลักมาจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น หลัง นายอีแวนส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก มีมุมมองต่อปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวราว 2.5% ในปีนี้ สอดคล้องต่อความเห็นของ นายเอริค โรเซนเกรน ประธานเฟด สาขาบอสตัน ที่ได้ออกมาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และระบุว่า ตลาดการเงินกำลังประเมินต่ำเกินไปเกี่ยวกับช่วงจังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด และมองในแง่ลบมากเกินไปเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ราคาทองปรับลงไม่มาก และฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้างจากการที่บริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ รวมถึงวอลท์ ดิสนีย์ และเมซีย์ อิงค์ เปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอเกินคาด รวมถึงมุมมองที่เป็นบวกของโกลด์แมน แซคส์ และเจพีมอร์แกน ที่คาดว่าราคาทองจะยังคงปรับตัวขึ้นต่อในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ราคาทองเริ่มมีแรงกดดันอีกครั้งหลังรายงานยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นในเดือน เม.ย.ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค.ปีที่แล้ว และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาด + รายงานตัวเลขเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นจากดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่ปรับตัวขึ้นในเดือน เม.ย. ซึ่งได้สร้างความกังวลว่าอาจเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน มิ.ย.นี้
ขณะที่แนวโน้มราคาทองโลกด้านเทคนิคราคายังอยู่ในแนวโน้มพักตัวออกข้างโดยมีฐานของแนวแขนรูปแบบ BULLISH FLAG รองรับอยู่ ขณะที่ระยะสั้นราคาเริ่มขึ้นมายืนเหนือเส้น 5 วันได้เป็นสัญญาณบวกเสริมแนวพักตัว + ค่าสัญญาณทางเทคนิคที่เริ่มปรับขึ้นทำให้ราคาแนวโน้มพักตัวเพื่อปรับตัวขึ้นรอบใหม่ตามรูปแบบ
สรุปแนวโน้มทองคำมีโอกาสพักตัวช่วงสั้นๆ ก่อนปรับขึ้นต่อตามสัญญาณบวกด้านเทคนิค โดยมีแนวรับ 1,245/1,240 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แนวต้าน 1,305/1,310 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์