บิ๊ก ตลท.ผนึกกำลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยกระดับตลาดทุน เผยตลาดทุนไทยทำยอด IPO ที่ 1 ในอาเซียน 3 ปีซ้อน ด้าน “วรวรรณ” แนะตลาดทุนแกว่งตัวแรง ทำค่าเงินผันผวนไม่หยุด
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยในรอบ 3 ปีที่ผ่านมาว่า ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2556-2558 มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งมูลค่ารวมของสินทรัพย์บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (ทั้ง SET และ mai) ณ สิ้นมีนาคม 2559 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 13.73 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 100% ของ GDP ในประเทศ และมูลค่าการระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนใหม่ที่เข้าทำการซื้อขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก หรือ IPO ซึ่งมีมูลค่าสูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน
นอกจากนี้ การระดมทุนในลักษณะของ Infra Fund/REITs และก็มีการเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของบริษัทจดทะเบียน เนื่องจากเป็นเครื่องมือทางการเงินที่นำมาระดมทุนได้เป็นอย่างดี ส่วนบริษัทจดทะเบียนที่แปรรูปกิจการเป็น Holding Company มีผลประกอบการที่โดดเด่น เนื่องจากสามารถบริหารความเสี่ยง และพัฒนาศักยภาพด้านการบริหารต้นทุน ซึ่งส่งผลต่อรายได้ และกำไรที่เติบโตขึ้นตามไปด้วย
“ที่ผ่านมา ตลท.มีการพัฒนาระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ และการส่งเสริมด้านการระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนทั้งขนาดกลาง และขนาดย่อม และการให้ความสำคัญต่อการออมในรูปของวางแผนเพื่อการลงทุนของนักลงทุนในอนาคต ทำให้มีประชาชนมีความสนใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้น อีกทั้ง ตลท.ยังได้พัฒนาระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ และระบบการชำระราคา และรับฝากหลักทรัพย์ให้มีความรวดเร็วรองรับความต้องการของนักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ”
อย่างไรก็ตาม ในปี 2558 บริษัทจดทะเบียนไทยระดมทุนผ่านการเปิดซื้อขายหลักทรัพย์ให้ประชาชนครั้งแรก หรือ IPO สูงสุดในอาเซียนต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 นับตั้งแต่ปี 2556 โดยในปี 2558 การระดมทุนผ่าน IPO ของไทยอยู่ที่ 4,241 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 130,611 ล้านบาท อันดับ 2 ได้แก่ ประเทศมาเลเซีย จำนวนการระดมทุนกว่า 1,337 ล้านเหรียญสหรัฐ อันดับที่ 3 ได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย มูลค่าการระดมทุน จำนวน 878 ล้านเหรียญสหรัฐ และประเทศสิงคโปร์ มูลค่าการระดมทุนกว่า 341 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่ นางวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน หรือ AIMC และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา และแนวโน้มในอนาคตว่า ประมาณการระยะสั้นจะมีเงินทุนใหลเข้ามายังตลาดทุนไทยยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศเข้ามากระทบ ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในรูปของค่าเงินที่อาจมีการแกว่งตัวผันผวนรุนแรง ทั้งแข็งค่า และอ่อนค่าต่อไปอีกสักระยะ ซึ่งนักลงทุนจะต้องพิจารณาความเสี่ยง และผลกระทบในการลงทุนที่จะเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด อีกทั้งปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศซึ่งเป็นปัจจัยฉุดรั้งที่สำคัญ เพราะจะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจ และกำลังซื้อของประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่อยู่ในระดับต่ำอีกด้วย